
แอลจีลั่นปี’68 โฟกัสชิงเจ้าตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า AI ขยายไลน์สินค้า AI ทุกหมวดสินค้า ชู 2 จุดเด่น ฟังก์ชั่นอัตโนมัติ-ราคาจับต้องง่ายขึ้น อัดงบฯการตลาดเพิ่ม 10% สร้างรับรู้หน้าร้าน-ออนไลน์ พร้อมสปีดธุรกิจ B2B ส่งแอร์พาณิชย์-จอโฆษณาเจาะโรงเรียน-โรงแรม-ค้าปลีก ดันรายได้โต 15% เป็น 17,550 ล้านบาท แม้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า 82,881 ล้านบาท แนวโน้มโต 5%
นายอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่มเครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็นและทีวี ในปี 2568 นี้มีแนวโน้มเติบโต 5% เป็น 87,025 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 2567 ที่ตลาดเติบโต 3.5% จนมีมูลค่า 82,881 ล้านบาท
ทั้งนี้ เชื่อว่าผู้บริโภคระดับกลาง-บนจะยังคงมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์ความสะดวก และประหยัดพลังงาน เช่นเดียวกับภาคธุรกิจที่รีโนเวตอาคารตามกระแสสิ่งแวดล้อม และรับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ด้วยเหตุนี้ ปี 2568 บริษัทจะสปีดธุรกิจทั้งด้านลูกค้าครัวเรือน (B2C) และลูกค้าองค์กร (B2B) เพื่อผลักดันรายได้รวมให้เติบโตสูงกว่าตลาด ตามเป้าปี 2568 ที่จะผลักดันรายได้ให้เติบโต 15% เป็น 17,550 ล้านบาท หลังปี 2567 รายได้เติบโต 5% เป็น 15,200 ล้านบาท พร้อมขยายสัดส่วนรายได้ฝั่ง B2B จาก 11% เป็น 15% ด้วย
ในส่วนของตลาดผู้บริโภคครัวเรือน (B2C) นั้นจะใช้ฟังก์ชั่น AI เป็นหัวหอก โดยสร้างความแตกต่างจาก AI ของคู่แข่งด้วยฟังก์ชั่นการทำงานอัตโนมัติที่เกิดจากการเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งาน เช่น เครื่องปรับอากาศที่สามารถปรับอุณหภูมิได้เองตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เครื่องซักผ้าที่เลือกโปรแกรมซักตามชนิดผ้าได้เอง เป็นต้น ซึ่งจะตอบโจทย์ความสะดวกที่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ
นอกจากนี้ยังใส่ฟังก์ชั่น AI ในสินค้ารุ่นที่ราคาจับต้องง่ายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ง่าย และขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นไปพร้อมกัน โดยไลน์สินค้าแอลจีรุ่นปี 2568 นั้นจะมีรุ่นที่มีฟังก์ชั่น AI ในสัดส่วนเฉลี่ยถึง 40% ของสินค้าใหม่ทั้งหมด จากการเพิ่มจำนวนรุ่นมี AI ในกลุ่มเครื่องปรับอากาศ และเครื่องซักผ้า สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากสัดส่วน 20% เมื่อปี 2567 ประเดิมด้วยเครื่องปรับอากาศที่จะเปิดตัวช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้
พร้อมเพิ่มงบฯการตลาดขึ้นอีก 10% จากปี 2567 เพื่อสร้างการรับรู้โดยเฉพาะผ่านพนักงานหน้าร้าน และวิดีโอบนช่องทางออนไลน์ เนื่องจากฟังก์ชั่น AI ต้องอาศัยการอธิบาย-โชว์การทำงาน ซึ่งจะสร้างความเข้าใจและย้ำจุดแตกต่างจากคู่แข่งได้ชัดเจน รวมถึงย้ำความมั่นใจด้านความปลอดภัยของข้อมูลพฤติกรรมการใช้งาน เนื่องจากเป็นการเก็บแบบนิรนาม ผู้ใช้ไม่ต้องให้ชื่อในตอนลงทะเบียน รวมถึงมี LG Shield ระบบรักษาความปลอดภัยที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองชั้นหนึ่งอีกด้วย
ขณะเดียวกันจะขยายช่องทางร้านค้าออนไลน์แบบออฟฟิเชียล หรือ LG.com บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อร่วมสปีดยอดขาย และกระจายความเสี่ยงในกรณีเกิดวิกฤตต่าง ๆ
“มั่นใจว่าแอลจีได้เปรียบในสมรภูมิเครื่องใช้ไฟฟ้า AI เพราะมีระบบ ThinQ AI มานานนับ 10 ปี ทำให้มีฐานข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานจากเครื่องใช้ไฟฟ้ากว่า 700 ล้านเครื่องทั่วโลก ช่วยให้พัฒนาฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุดและเร็วกว่าคู่แข่ง เช่น ฟังก์ชั่นอัตโนมัติต่าง ๆ ที่สร้างประสบการณ์ใช้งานแบบเฉพาะตัวตามลูกค้าแต่ละราย”
ด้านตลาดองค์กร (B2B) จะผลักดัน กลุ่มสินค้าเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ และจอสำหรับโฆษณา-ใช้งานในออฟฟิศ โดยมุ่งชิงโครงการในกลุ่มโรงแรม, สถานศึกษา, ค้าปลีก และอาคารสำนักงาน ซึ่งยังมีการลงทุนรีโนเวตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในไทยโดยเฉพาะ และชูความคุ้มค่าในระยะยาวจากการประหยัดพลังงาน เช่นเดียวกับการใช้ไลน์เครื่องใช้ไฟฟ้า AI มาสร้างโซลูชั่น ตอบโจทย์ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งความต้องการแถมเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์เดียวกันเพื่อความสะดวกในการบริการหลังการขาย พร้อมย้ำความหรูของโครงการด้วย
ขณะเดียวกันจะขยายธุรกิจ LG Subscription ทั้งด้านจำนวนสาขา และบัญชีลูกค้า ซึ่ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม ปี 2567 มีประมาณพันราย เพื่อดันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนี้ให้ถึง 7-11% ระยะยาว ส่วนร้านสะดวกซัก LG Laundry Crew อยู่ระหว่างนำฟีดแบ็กมาพัฒนาเป็นกลยุทธ์เพื่อขยายสาขาต่อไป นอกจากนี้ยังพยายามนำธุรกิจ B2B ใหม่ ๆ เข้ามาในไทยเพิ่มเติม เช่น สถานีชาร์จรถ EV โดยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้
ทั้งนี้ เชื่อว่าด้วยกลยุทธ์เหล่านี้จะผลักดันรายได้ปี 2568 ให้เติบโต 15% เป็น 17,550 ล้านบาท ได้แน่นอน