ปิ่นเพชรฯแตกไลน์ OwnBrand-ลุยส่งออกบูมตลาดทิสชูเปียก

HAKU
ดร.กฤต เลิศเศรษฐการ

“ปิ่นเพชร โกลบอล” ขยายตลาดทิสชูเปียก แตกไลน์สินค้า Own Brand ใหม่เน้นฆ่าเชื้อ พร้อมส่ง “สเปรย์เย็น-เจลเย็น” แบรนด์ HAKU ลุยตลาดหน้าร้อน ชูกลยุทธ์สินค้าพรีเมี่ยมรักษ์โลก หวังดัน Own Brand แซง OEM เตรียมเร่งเครื่องส่งออก หวังสู้ศึกสินค้าจีน ตั้งเป้าปี 2568 รายได้แตะ 100 ล้านบาท

ดร.กฤต เลิศเศรษฐการ กรรมการผู้จัดการบริษัท ปิ่นเพชร โกลบอล จำกัด ผู้ผลิตทิสชูเปียกทั้งแบบ OEM ให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสำหรับแบรนด์ของบริษัทเอง อาทิ HAKU, HOYA และ Excare เปิดเผยว่า แม้การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 จะผ่านไปแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Personal Care โดยเฉพาะทิสชูเปียกแอลกอฮอล์ ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขอนามัยและป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ปรับตัวและคุ้นเคยกับการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากช่วงการระบาดของโควิด-19

ส่งผลให้ตลาดทิสชูเปียกมีการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น โดยมีทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศที่พัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

แตกไลน์สินค้า-เจาะพรีเมี่ยม

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ควบคู่ไปกับการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

โดยเบื้องต้นวางแผนแตกไลน์สินค้าใหม่ที่เป็น Own Brand เพิ่ม 1 แบรนด์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มสินค้าที่เน้นการฆ่าเชื้อโดยเฉพาะ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของตลาดที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องสุขอนามัยมากขึ้น

ขณะที่แบรนด์ HAKU หนึ่งในแบรนด์ของบริษัท ในช่วงหน้าร้อนจะมีออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ สเปรย์เย็น และเจลเย็น ออกมาวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายไลน์สินค้าพรีเมี่ยมที่ใช้เส้นใยธรรมชาติ และสามารถย่อยสลายได้ 100% มากขึ้นอีกด้วย

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ปัจจุบันสินค้า Own Brand ของบริษัท จะมีอยู่ทั้งหมด 3 แบรนด์ ได้แก่ HAKU, HOYA และ Excare โดยในอนาคตคาดว่ากลุ่มสินค้า Own Brand จะสามารถทำสัดส่วนยอดขายได้สูงกว่าส่วนที่รับจ้างผลิต (OEM) ที่ในปี 2567 มีสัดส่วนรายได้สูงถึง 60-65%

สำหรับในส่วนรับจ้างผลิต (OEM) ที่ปัจจุบันมีลูกค้ามากกว่า 400 แบรนด์ เบื้องต้นจะยังคงยึดมั่นในด้านการผลิตที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และสร้างความมั่นใจในกลุ่มลูกค้าใหม่

ADVERTISMENT

“โดยในช่วงกลางปี 2568 จะมีโปรเจ็กต์ใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาให้ผลิต 2,000,000 ชิ้น และกำหนดให้เสร็จภายใน 20 วัน ซึ่งหากทำได้สำเร็จคาดว่าจะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้เป็นอย่างมาก”

ขยายตลาดส่งออก-สู้ศึกสินค้าจีน

ดร.กฤตกล่าวต่อว่า แม้ปัจจุบันบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านของการแข่งขันกับสินค้าจากจีน ซึ่งมีทั้งกลุ่มราคาถูกและสินค้าคุณภาพระดับพรีเมี่ยม แต่ยังมีโอกาสในการทำตลาดอีกมาก โดยบริษัทจะยังคงมุ่งเน้นสร้างการรับรู้ในเรื่องของมาตรฐานสินค้า และคุณภาพของวัตถุดิบให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังมีแผนที่จะขยายลูกค้า OEM ในส่วนของตลาดต่างประเทศมากขึ้นเช่นเดียวกัน

“การแข่งขันด้านราคาในไทยนั้นไม่ยั่งยืน เราจึงต้องมองหาตลาดต่างประเทศ และพาร์ตเนอร์ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เราได้ขยายตลาดส่งออกไปประเทศจีน ฟินแลนด์ ฯลฯ บ้างแล้ว ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าในประเทศเยอรมนี ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกาเพิ่ม”

เพิ่มการผลิต-รับดีมานด์พุ่ง

ขณะที่แผนระยะยาว 3-5 ปี บริษัทจะมุ่งไปที่การผลิตทิสชูเปียกห่อใหญ่ 40 แผ่นขึ้นไปมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันเริ่มมองหาความคุ้มค่าในการใช้งานสูงขึ้น

ทั้งนี้หากในอนาคตดีมานด์จากทั้งฝั่งผู้บริโภค และลูกค้า OEM มากขึ้น บริษัทก็มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิต เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างครอบคลุม จากที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 50,000 ชิ้นต่อวัน โดยคาดว่าจะใช้งบฯลงทุนเพิ่มราว 30 ล้านบาท รวมถึงยังวางแผนขยายโรงงานเข้าสู่ระบบ Industry 4.0 ด้วยการนำ AI และระบบอัตโนมัติเข้ามาบริหารจัดการการผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว คาดว่าจะผลักดันให้บริษัทสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยในปี 2568 นี้ ตั้งเป้ารายได้แตะ 100 ล้านบาท จากปีก่อนหน้ามีรายได้อยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท