
“รวิศ หาญอุตสาหะ” CEO ศรีจันทร์ ชี้ไทยมีศักยภาพด้าน Soft Power โดยเฉพาะ Wellness แต่ต้องคิดให้ครบวงจร-เชื่อมโยงทุกภาคส่วน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมไทยทั้งระบบ
นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด กล่าวในงานเสวนา ”Chula Thailnad Presidents Summit 2025 ภายใต้หัวข้อ ”Future Thailand: Soft Power“ ว่า ประเทศไทยยังมีศักยภาพในการพัฒนา Soft Power ได้อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Wellness ที่ไทยมีความแข็งแกร่งทั้งอาหาร การท่องเที่ยว และบริการ แต่สิ่งที่ต้องทำคือการคิดให้ครบวงจรและเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน
โดยได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาของประเทศเดนมาร์กและสหรัฐอเมริกา โดยชี้ให้เห็นว่า บริษัทที่มียอดขายสูงสุดในยุโรปในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา คือ บริษัทผลิตยารักษาโรคเบาหวาน ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้ขายแค่ยา แต่ขายสิ่งที่มนุษย์ทำได้ยากที่สุด คือการต่อสู้กับน้ำหนักของตัวเอง
Soft Power ไทยต้องมองไกล-ครบวงจร
ซึ่งสำหรับประเทศไทยที่เรามีวัตถุดิบที่สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ระดับโลกได้ เช่น ขิง ที่ปัจจุบันถูกนำไปสกัดและขายในราคาสูงถึง 60,000-70,000 บาทต่อกิโลกรัมในอังกฤษ โดยที่ต้นทางของวัตถุดิบก็มาจากประเทศไทยเอง สิ่งเหล่านี้จึงถือเป็นโอกาสของไทย
“แต่ทั้งนี้เราก็จะต้องมีการสนับสนุนจากภาครัฐ และการร่วมมือกับทุกภาคส่วน เราถึงจะสามารถสร้างอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกันได้เหมือนเกาหลีใต้ ที่สามารถนำโซจูเข้าไปอยู่ในทุกแง่มุมของวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์หรือโฆษณา ซึ่งในส่วนนี้คือแนวทางที่เราต้องคิดให้ครบวงจร”
การเชื่อมโยงและความต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทวก็ยังมีความท้าทายในเรื่องของการขาดความต่อเนื่องและการเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่างๆ ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมทุเรียน ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ปัจจุบันมีการค้นพบว่าสารสกัดจากทุเรียนสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมความงาม เช่น กรดไฮยาลูรอนิกที่ใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แต่ปัจจุบันยังไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้สู่ตลาดในเชิงลึก
“ถ้าเราสามารถนำทุเรียนไปพัฒนาเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมความงามได้จริง เราต้องทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าทุเรียนไม่ใช่แค่ผลไม้ แต่เป็นวัตถุดิบที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ถ้ามองไปที่เกาหลีใต้ อุตสาหกรรมความงามของเขาใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติที่เป็นที่นิยมในแต่ละช่วงเวลา เช่น ‘ใบบัวบก’ ที่ได้รับความนิยมและถูกใช้โดยแบรนด์ใหญ่มากมาย”
ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จ คือ การที่แบรนด์ในอุตสาหกรรมเดียวกันสามารถร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนตลาดในภาพรวม แม้จะเป็นคู่แข่งกันก็ตาม แต่พวกเขายังคงผลักดันให้วัตถุดิบและเทรนด์ที่ได้รับความนิยมสามารถขยายตัวในตลาดโลกได้ ซึ่งประเทศไทยต้องทำให้ได้แบบนั้น ถ้าภาคเอกชนร่วมมือกันมากขึ้น เราก็จะสามารถผลักดันวัตถุดิบจากไทยไปสู่ตลาดโลก และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้
เร่งสร้างทักษะใหม่ รับมืออนาคต
อีกหนึ่งประเด็นที่ควรให้ความสำคัญคือ “ทักษะของคนยุคใหม่” โดยมองว่า AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือที่ทุกคนต้องเรียนรู้และใช้งานให้เป็น โดยเชื่อว่าประเทศไทยสามารถใช้โอกาสจาก Soft Power ในการสร้างอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพและเวลเนสของโลกได้ หากสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่างๆ อย่างเป็นระบบ
เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่าไทยถือป็นฐานการผลิตเครื่องสำอางอันดับ 3 ของเอเชีย แต่ยังต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศถึง 97% ซึ่งถ้าเราสามารถพัฒนาเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตวัตถุดิบเองได้ เราก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างมหาศาล