
ปีนี้คือปีที่ AI ไม่ใช่ ‘ทางเลือก’ แต่เป็น ‘ทางรอด’ สำหรับธุรกิจไทย ใครก้าวก่อน…ชนะก่อน! Influencers & AI จะเป็นสองพลังหลักขับเคลื่อนตลาด
ผ่านมา 1 เดือนเต็มของปี 2568 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบระยะสั้นดันเทศกาลตรุษจีนคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา MI GROUP ชวนมองปัจจัยต่าง ๆ และคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ ที่แม้หลายสำนักจะสะท้อนปัจจัยลบเพียบ แต่ก็มีอีกหลายปัจจัยบวกเข้ามา อาจเป็นปีทองของธุรกิจและผู้ประกอบการ ที่ตั้งรับ และปรับตัวได้ดี
MI GROUP คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ผ่านเม็ดเงินโฆษณาและกิจกรรมทางการตลาด แม้เผชิญแรงกดดันทั่วโลก แต่ปัจจัยบวกใหม่ ๆ ก็มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ อาทิ
- GEN AI ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- อุตสาหกรรมอนาคตอย่างธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ที่มีแผนเข้ามาลงทุนในไทย
- การท่องเที่ยวภายในและจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คึกคักอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้วสูงขึ้น (คาดการณ์ +13% หรือ 40 ล้านคน ใกล้เคียงปี 2562)
- ไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก
- ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยโดยเฉพาะ Thai Cultural Content ที่บูมขึ้นและได้รับการตอบรับและสนใจมากขึ้นในตลาดสากล
- นโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐที่อาจส่งผลให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนใหม่ในอาเซียนและเอเชีย
ปัจจัยบวก : โอกาสใหม่ที่ช่วยเร่งการเติบโต
1.การพัฒนาของ AI อัจฉริยะ : Agentic AI เปลี่ยนเกมธุรกิจไทย
ปี 2025 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ AI ทั่วโลก โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่ยุคของ Agentic AI หรือ AI ที่สามารถเรียนรู้ ปรับตัว และตัดสินใจเองได้ คาดการณ์ว่า AI รูปแบบใหม่นี้ช่วยให้ธุรกิจไทยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดโอกาสใหม่
2.อุตสาหกรรมอนาคตอย่างธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ที่ประกาศแผนลงทุนในประเทศไทย
- ทำเลที่ตั้งที่สะดวกต่อการเชื่อมต่อกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอาเซียนที่เป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
- ปัจจุบันมีโครงการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมกว่า 50 โครงการ (ข้อมูลโดย BOI)
3.การท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง เป็น Quick Win ฟื้นเศรษฐกิจไทย
- การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และ MICE เติบโต
- นักท่องเที่ยว LGBTQ+ ที่คาดว่าจะเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นจากนโยบาย
สมรสเท่าเทียม - ไทยเป็น Wedding Destination สำหรับคู่รักจากทั่วโลก
4.ไทยขึ้นแท่น “ศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก” (Global Medical Hub)
- มาตรฐานการแพทย์ระดับสากล และค่ารักษาพยาบาลที่คุ้มค่าดึงดูด Medical Tourists และการลงทุนในอุตสาหกรรมสุขภาพ Wellness & Preventive Healthcare เติบโต
- สอดรับกับโครงสร้างพลเมืองโลกที่จะมีจำนวนผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้น
5.Thai Cultural Content ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก
- อาทิ T-Pop และวงการบันเทิงไทยเติบโต, วัฒนธรรมสายวาย (BL) และยูริ (GL) เป็นกระแสระดับโลก, อาหารไทยและแฟชั่นไทยบูมมากในตลาดสากล
6.ไทยอาจได้รับอานิสงส์จากนโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐที่มีต่อจีน
นโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐมีแนวโน้มเข้มงวดกับจีนมากขึ้น
การเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าต่อจีนของสหรัฐ ส่งผลให้บริษัทข้ามชาติบางส่วนต้องหาทางเลือกใหม่ในการตั้งฐานการผลิต ไทยและอาเซียน โดยเฉพาะเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เป็นเป้าหมายสำคัญของการย้ายฐานการลงทุน
โดยประเทศไทยมีความได้เปรียบหลายอย่าง เช่น ทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ เหมาะกับการเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV), แบตเตอรี่, ซัพพลายเชน, เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
ปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ อาทิ
- ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคที่แข็งแกร่ง (น้ำ, พลังงานไฟฟ้า, โลจิสติกส์)
- มีข้อตกลงทางการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ ทำให้ต้นทุนการส่งออก
ต่ำกว่า ล่าสุดไทยได้ร่วมลงนามความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับ “เอฟตา” หรือสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป - นโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ดึงดูดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการผลิตอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมายังไทย
- อุตสาหกรรมดิจิทัลและ AI ที่ต้องการเข้าถึงตลาดอาเซียน
7. แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเชิงรุกที่ประกาศออกมา
- 10 นโยบายเร่งด่วน
- 8 นโยบายหลักระยะกลางและระยะยาว
อย่างไรก็ตามปัจจัยลบที่ยังมีอยู่ และความท้าทายที่ต้องจับตามอง อาทิ
- ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง หลายประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของไทยยังอยู่ในสภาวะซบเซาหรือยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร
- อัตราดอกเบี้ยสูงในสหรัฐ และยุโรปอาจส่งผลต่อการค้าและการลงทุนของไทย
- การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัว หรือยังฟื้นไม่เต็มที่
- สินค้าจากจีนทะลักเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อผู้ประกอบการไทยในการแข่งขัน
- ความอ่อนแอและเปราะบางของ SMEs ไทยที่ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในทักษะเพื่อการแข่งขันในโลกยุคใหม่ และข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มมีผล แต่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นและเห็นผลเป็นรูปธรรม
จากสถานการณ์โดยรวมดังกล่าว MI GROUP คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดปีนี้โต +4.5% อยู่ที่ 92,048 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสื่อดิจิทัล (รวมถึงสื่อโซเชียล) ที่โต +15% โดยเป็นสื่ออันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 มูลค่ารวมแตะ 38,938 ล้านบาท, สื่อนอกบ้านโต +10% ส่วนสื่อดั้งเดิมหลักถดถอยต่อเนื่อง (ข้อมูลโดย MI LEARN LAB)
ฟันธงส่วนผสมสื่อในปีนี้จะเป็นดังนี้
สื่อดิจิทัล แตะ 45% ในขณะที่สื่อออฟไลน์ โดยรวม 55% ซึ่ง 3 สื่อหลักนี้ คือ สื่อดิจิทัล, สื่อโทรทัศน์ และสื่อนอกบ้าน ยังมีคงบทบาทสำคัญที่แตกต่างกันต่อการสื่อสารการตลาดแต่ส่งเสริมกัน โจทย์ยากคือจะวางแผนส่วนผสมสื่ออย่างไรให้ประสิทธิภาพและส่งเสริมกันมากที่สุด
หากมองเจาะไปที่สื่ออันดับ 1 อย่างสื่อดิจิทัล สัดส่วนใหญ่ที่สุดจะอยู่ที่การใช้ “อินฟลูเอนเซอร์” ที่มีตัวตนในแพลตฟอร์มโซเชียลต่าง ๆ โดยในปีนี้ทาง MI GROUP ประเมินจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในไทยน่าจะแตะเฉียด 3 ล้านราย หรือประมาณ 4.5% ของจำนวนประชากรไทย (เติบโตจากปี 2567 ที่เดิมอยู่ที่ 2 ล้านราย)
โดยการเติบโตหลักมาจาก Micro และ Nano ที่มาในรูปแบบของผู้ใช้จริง (KOC) และพ่อค้า แม่ค้า นักขาย ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นที่เข้าร่วมทำ Affiliate Marketing กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการและแบรนด์ เน้นการสื่อสารการตลาดเพื่อดันยอดขายโดยตรงเป็นหลัก (Lower Funnel Marketing) จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การใช้อินฟลูเอนเซอร์เติบโตสูง ในขณะที่การสื่อสารการตลาดที่มุ่งการรับรู้และการสร้างแบรนด์ (Thematic Ad) ยังคงมีความสำคัญแต่แค่เป็นรอง
กลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบฯสื่อสารการตลาดเพิ่มขึ้นในปีนี้ :
- สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการพักผ่อนหย่อนใจ อาทิ โรงแรม สายการบิน แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชั่นท่องเที่ยว
- ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และโบรกเกอร์ประกัน
- วิตามิน อาหารเสริม และยา
- โฆษณาจากภาครัฐ
- การขนส่ง เช่น บริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ
- อาหารและสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง
- สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
กลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบฯสื่อสารการตลาดลดลงในปีนี้ :
- E-Marketplace เช่น Shopee, Lazada
- เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น น้ำอัดลม กาแฟ
- ร้านอาหาร
- ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน
- ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร
ปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสและความท้าทาย ธุรกิจไทยต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งโอกาสจาก AI และดิจิทัล อุตสาหกรรมใหม่ที่เติบโต การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และ Soft Power ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ขณะเดียวกันปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันที่เข้มข้นยังเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง
ในสภาวะเช่นนี้ การร่วมมือกันของทุกภาคส่วนคือกุญแจสำคัญ MI GROUP เชื่อมั่นว่าธุรกิจไทยสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เข้ามา พร้อมตั้งรับและปรับตัวกับความท้าทายไปด้วยกัน เราขอเชิญพันธมิตร แบรนด์ และผู้ประกอบการ ผนึกกำลัง เดินเกมรุกอย่างปราดเปรียว ตั้งรับอย่างแข็งแกร่ง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยพลังของข้อมูลเชิงลึก เทคโนโลยี และกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ทุกธุรกิจก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ