อุตฯสื่อโฆษณา’68 เปลี่ยนทิศ อินฟลูพุ่ง 3 ล้านคนหนุนออนไลน์โตแซงทีวี

อุตสาหกรรมโฆษณาเปลี่ยนทิศ “มีเดียอินเทลลิเจนซ์” เผยเม็ดเงินโฆษณาปี’68 มีมูลค่ารวม 9.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 4.5% อินฟลูเอนเซอร์ตัวเลือกแรกของการใช้งบฯการตลาดพุ่งแตะ 3 ล้านคน ร่วมชิงเม็ดเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท หนุนสื่อออนไลน์ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 2 ปีต่อเนื่อง ขณะที่สื่อดั้งเดิม “ทีวี-วิทยุ-สิ่งพิมพ์” ถดถอยต่อเนื่อง ชี้ภาวะเศรษฐกิจบีบแบรนด์หันโฟกัสยอดขายมากกว่าการรับรู้

นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ตามข้อมูลของ MI LEARN LAB พบว่า เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดปี 2568 นี้ จะโต 4.5% คิดเป็น
มูลค่าประมาณ 92,048 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากการเติบโตของสื่อดิจิทัล รวมถึงสื่อโซเชียลที่โต 15% ส่วนสื่อนอกบ้านโต 10% ขณะที่สื่อดั้งเดิมยังคงถดถอยต่อเนื่อง

ภวัต เรืองเดชวรชัย
ภวัต เรืองเดชวรชัย

สำหรับสัดส่วนมูลค่าเม็ดเงินโฆษณาในปี 2568 ที่คาดว่าจะไหลไปยังสื่อแต่ละประเภทนั้น จะแบ่งเป็นสื่อออนไลน์ 38,938 ล้านบาท, ทีวี 30,810 ล้านบาท, สื่อนอกบ้าน 15,247 ล้านบาท, สื่อในโรงภาพยนตร์ 3,304 ล้านบาท, วิทยุในเขตกรุงเทพฯ 2,546 ล้านบาท, หนังสือพิมพ์ 696 ล้านบาท และนิตยสาร 507 ล้านบาท

การเติบโตของเม็ดเงินในสื่อดิจิทัลที่สูงถึง 38,938 ล้านบาทนี้ คิดเป็น 45% ของเม็ดเงินทั้งหมด ขณะที่สื่อออฟไลน์ทุกประเภทรวมกันมีสัดส่วน 55% ทำให้สื่อดิจิทัลครองตำแหน่งสื่อโฆษณาอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 2

ทัพอินฟลูฯทะลุ 3 ล้านราย

นายภวัตกล่าวว่า ในเม็ดเงิน 38,938 ล้านบาทของสื่อออนไลน์นั้น คาดว่าจะเป็นเม็ดเงินสำหรับการใช้อินฟลูเอนเซอร์ และ KOL มากกว่า 1 ใน 3 หรือไม่น้อยกว่า 11,601.4 ล้านบาท และการใช้อินฟลูเอนเซอร์กลายเป็นตัวเลือกแรกของการใช้งบฯการตลาดของแบรนด์ และนักการตลาด

ขณะเดียวกัน ปี 2568 จำนวนอินฟลูฯในไทยนี้มีแนวโน้มแตะ 3,000,000 ราย หรือประมาณ 4.5% ของประชากรชาวไทยทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากจำนวน 2,000,000 ราย ในปี 2567 โดยการเติบโตหลักมาจากกลุ่มอินฟลูฯระดับไมโคร (Micro) และนาโน (Nano) ที่มาในรูปแบบของผู้ใช้จริง (KOC) และพ่อค้าแม่ค้า, นักขายทั้งมืออาชีพ และสมัครเล่น

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ อินฟลูเอนเซอร์สายไลฟ์สไตล์จะมีจำนวนมากที่สุด เนื่องจากเป็นแนวทางที่เปิดกว้างสามารถรับโปรโมต-ขายสินค้าและบริการได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่อาหาร ความงาม สุขภาพ ไปจนถึงท่องเที่ยว ส่วนอินฟลูเอนเซอร์สายเทคโนโลยี เช่น แก็ดเจตนั้น มีจำนวนรองลงมาเป็นอันดับ 2

“เรียกได้ว่าขณะนี้ อินฟลูเอนเซอร์เป็นเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนการจับจ่ายของทั้งแบรนด์สินค้า-บริการ และผู้บริโภค” นายภวัตกล่าว

ADVERTISMENT

ศก.บีบคน-แบรนด์สู่อินฟลูฯ

นายภวัตกล่าวต่อไปว่า การเพิ่มขึ้นของอินฟลูเอนเซอร์นี้เกิดจากจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ความนิยมกลยุทธ์การตลาดแบบแอฟฟิลิเอต (Affiliate Marketing) เช่น การติดตะกร้าสินค้า การติดลิงก์ ฯลฯ จากทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ อย่างช้อปปี้ ลาซาด้า

รวมไปถึงแบรนด์สินค้า-บริการ เนื่องจากความสามารถในการสร้างยอดขายที่สูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจให้ความสำคัญสูงในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา หลังสภาพเศรษฐกิจบีบให้ธุรกิจต้องโฟกัสกับความคุ้มค่าของการลงทุน หรือ ROI ส่วนการรับรู้และการสร้างแบรนด์ กลายเป็นเป้าหมายอันดับรอง

อีกปัจจัยคือ ผู้บริโภคจำนวนมากได้รับแรงกดดันจากสภาพเศรษฐกิจให้จำเป็นต้องหารายได้เสริมเพื่อรองรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้หลายคนหันมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เนื่องจากเป็นอาชีพที่สามารถเข้าร่วมได้ง่าย หลายแพลตฟอร์มเปิดรับด้วยเงื่อนไขที่ยืดหยุ่น ลงทุนเริ่มต้นต่ำสามารถใช้สมาร์ทโฟนที่มีอยู่ รวมถึงไม่ต้องสต๊อกสินค้าล่วงหน้า

“นอกจากนี้ธุรกิจอาจมองว่า การใช้อินฟลูเอนเซอร์นั้นปลอดภัยกว่า เนื่องจากผู้บริโภคจะโฟกัสกับตัวตนของอินฟลูฯมากกว่าแบรนด์สินค้า-บริการ ทำให้หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ผลกระทบอาจไม่ส่งมาถึงแบรนด์ แตกต่างกับการใช้แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ หรือพรีเซ็นเตอร์”

สอดคล้องกับความเห็นของนางสาวสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด (Tellscore) ที่ประเมินว่า ตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทยในปี’67 มีมูลค่าประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท โตปีละ 25-30% ซึ่งเป็นอัตราการสูงกว่าตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่โต 20%

ส่วนจำนวนครีเอเตอร์นั้น ลิงก์ทรี (Linktree) เว็บไซต์รวมลิงก์ คาดว่า ในไทยมีครีเอเตอร์ 9 ล้านคน แบ่งเป็นพาร์ตไทม์ 7 ล้านคน และฟูลไทม์ 2 ล้านคน

สื่อดั้งเดิมอัดโปรฯชิงเม็ดเงิน

นายภวัตกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในส่วนของภาพรวมของกลุ่มสื่อออฟไลน์ อย่างทีวี, วิทยุ และสิ่งพิมพ์ (ยกเว้นสื่อนอกบ้าน) นั้น ปีนี้อาจมีการโหมทำโปรโมชั่นแจก-แถมสลอตโฆษณากันมากขึ้น เพื่อชิงเม็ดเงินโฆษณาที่ลดน้อยลง ขณะเดียวกันสื่อทีวีแต่ละช่องอาจทำคอนเทนต์ละครใหม่ ๆ ลดลง

เนื่องจากต้องระมัดระวังการลงทุน และหันไปใช้การรีรันแทน หลังสลอตโฆษณายังคงเหลือและผู้ลงโฆษณามีตัวเลือกมากขึ้น ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ส่วนการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนั้น คาดว่าจะส่งผลบวกอย่างจำกัด เนื่องจากปัจจุบันดีมานด์การรับชมไม่สูงเท่าในอดีต ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ราคาโฆษณามีแนวโน้มทรงตัวต่อไป

ทั้งนี้ มูลค่าเม็ดเงินในสื่อทีวีมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2557-2567 โดยเมื่อปี 2567 เม็ดเงินโฆษณาในสื่อทีวีอยู่ที่ 33,129 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าไม่ถึง 50% ของมูลค่าเมื่อปี 2557 ซึ่งสูงถึง 73,595 ล้านบาท และในปี 2568 คาดว่าจะลดลงเเหลือประมาณ 30,810 ล้านบาทเท่านั้น