
เต็ดตรา แพ้ค จับมือ ดัชมิลล์ นำเทคโนโลยีคิวอาร์โค้ดฝังบนบรรจุภัณฑ์นมพร้อมดื่ม UHT หวังสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคและเก็บข้อมูลอินไซต์ผ่านแคมเปญ “Dutch Mill Point Rewards” เพื่อเอาใจลูกค้าได้ตรงจุด แย้มปี 2568 เตรียมดึง “ต้าเหนิง กัญญาวีร์” นั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่แบรนด์ “ดีน่า” หวังขยายฐานกลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมเดินหน้ารุกตลาดอเมริกาเต็มสูบ
นายสุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มในปี 2568 จะมุ่งเน้น 6 ปัจจัยหลัก ได้แก่ สุขภาพ ความคุ้มค่า ความยั่งยืน ความสะดวกสบาย การสื่อสารที่จริงใจ และประสบการณ์ใหม่ๆ โดยหนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงคือ “Experience More” ที่ยกระดับการเชื่อมโยงโลกดิจิทัลเข้ากับผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการประสบการณ์ที่มากกว่าการบริโภคแบบเดิมๆ
โดยผลสำรวจพบว่า 85% ของผู้บริโภคไทยให้ความสำคัญกับการค้นหาแรงบันดาลใจและประสบการณ์ที่ตื่นเต้น ส่งผลให้หลายแบรนด์ได้มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่มีลูกเล่นมากขึ้น เช่น การนำคิวอาร์โค้ดมาใช้เพื่อให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับแบรนด์ โดยหนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือแบรนด์ “ดัชมิลล์” ซึ่งเป็นคู่ค้ากับเต็ดตรา แพ้ค มากว่า 40 ปี ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการทำการตลาดเพื่อสร้าง Engagement กับผู้บริโภคเช่นเดียวกัน
ดัชมิลล์ ส่งนวัตกรรมเก็บอินไซต์
นายจิตรภณ ไตรรัตน์วรวุฒิ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ดัชมิลล์ จำกัด กล่าวว่า การวางคิวอาร์โค้ดบนบรรจุภัณฑ์ UHT ถือเป็นความท้าทาย เพราะหากวางผิดตำแหน่งอาจจะทำให้ถูกสแกนจากบุคคลที่ไม่ใช่ผู้บริโภคตัวจริง อีกทั้งยังต้องมีความท้าทายในด้านขั้นตอนการผลิตด้วยเช่นกัน
ซึ่งการที่บริษัทได้มาร่วมมือกับผู้ผลิตกระดาษ อย่าง เต็ดตรา แพ้ค ที่เข้ามาช่วยออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถฝังคิวอาร์โค้ดกับสินค้ากว่า 30 SKUs ในตำแหน่งที่ปลอดภัยได้ จึงทำให้เราสามารถออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้สำเร็จ
โดยเบื้องต้นคิวอาร์โค้ดจะถูกวางไว้ใต้จุดพับและชิดกับริมด้านบนของกล่อง เพื่อให้ผู้บริโภคจริงสามารถได้รับแต้มโดยไม่ถูกสแกนจากผู้อื่นก่อน ซึ่งการสร้างคิวอาร์โค้ดของแต่ละแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอ อาทิ นมเปรี้ยวดัชมิลล์, ดีน่า และดีมอลต์ จะมีการพิมพ์คิวอาร์โค้ดเฉพาะของแต่ละกล่อง ซึ่งจะแบ่งเป็นทั้งชื่อแบรนด์ ขนาด และรสชาติที่แตกต่างกัน โดยจะมีการสร้างคิวอาร์โค้ดสูงถึงพันล้านโค้ด
ทั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการรู้จักผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นความถี่ในการบริโภคผลิตภัณฑ์ไลน์ต่างๆ จำนวนที่บริโภค เวลาที่บริโภค ช่วงเวลาที่บริโภค รสใดหรือผลิตภัณฑ์ใดกำลังเป็นที่นิยม
ประเดิม “Dutch Mill Point Rewards”
โดยหนึ่งในแคมเปญที่จะเริ่มใช้คิวอาร์โค้ดนี้ก็คือแคมเปญ “Dutch Mill Point Rewards” ซึ่งจะเป็น Loyalty Program ที่ให้ผู้บริโภคสะสมแต้มจากการซื้อสินค้า ซึ่งเบื้องต้นจะสามารถสะสมได้ผ่าน 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ การสะสมยอดซื้อผ่านใบเสร็จ และการสแกนคิวอาร์โค้ดบนกล่อง UHT โดยแต้มที่สะสมแตกต่างกันตามขนาดไซซ์ และสามารถนำไปใช้แลกรับส่วนลด ของรางวัล หรือร่วมลุ้นรางวัลใหญ่ได้
ซึ่งหลังจากที่ได้เริ่มลอนช์แคมเปญดังกล่าวพร้อมกับการใช้นวัตกรรมคิวอาร์โค้ดออกมาในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา พบว่า ปัจจุบันมีผู้บริโภคที่รับประทานนมเปรี้ยวดัชมิลล์ตั้งแต่เด็กไปจนถึง Gen X, Gen Y โดยแบรนด์นมเปรี้ยวดัชมิลล์ ยังถือเป็นสินค้าเรือธงของบริษัท โดยมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 60% ของยอดขายทั้งหมด ตามด้วยนมถั่วเหลืองดีน่าที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการขึ้นเป็นผู้นำอันดับ 2 ในตลาดนมถั่วเหลืองที่ปัจจุบันมูลค่า 15,000 ล้านบาท เติบโตปีละ 5%
“เรามองว่าการนำเอาคิวอาร์โค้ดมาใช้ในการทำการตลาดในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มประสบการณ์ให้กับลูกค้าของแบรนด์ แต่ยังเป็นจุดแข็งที่จะทำให้แบรนด์ได้ข้อมูลผู้บริโภค เพื่อนำมาปรับใช้ในการทำแคมเปญออกมาให้ตอบโจทย์กับผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด และตรงกลุ่มมากยิ่งขึ้น”
เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่
รวมถึงในแคมเปญนี้จะมีการใช้พรีเซนเตอร์คนเดิมอย่าง “หนุ่ม กรรชัย” พิธีกรรายการชื่อดังอย่างโหนกระแส ที่ทุกเพศทุกวัยต่างเป็นแฟนรายการมาเป็นตัวกลางในการสื่อสารอีกด้วย จากปีที่ผ่านมาได้สร้าง Brand Engagement ได้เป็นอย่างดีในแคมเปญ “หน่วยกู้สู้ค่าครองชีพ”
นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม 2568 นี้ ในส่วนของแบรนด์ดีน่า ก็จะมีการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่อย่าง “ต้าเหนิง กัญญาวีร์” นักแสดงวัยรุ่นชื่อดัง ที่จะมาเป็นตัวกลางในการสื่อสารในกลุ่มคนรุ่นใหม่และสายสุขภาพ
บุกขยายตลาดอเมริกา
นายจิตรภณ กล่าวต่อว่า ขณะที่แผนการรุกตลาดต่างประเทศในปี 2568 ด้วยเป้าหมายที่บริษัทอยากจะขยายสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 20% ในปีนี้บริษัทจึงมีแผนที่จะบุกขยายตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่ม เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง จากปัจจุบันมีการส่งออกไปกว่า 20 ประเทศ โดยมีตลาดหลักอยู่ในเอเชีย อาเซียน และตะวันออกกลาง เป็นต้น
ทั้งนี้ ด้วยแนวทางที่มุ่งเน้นความเป็น Consumer Centric และการใช้เทคโนโลยีในการทำตลาด ดัชมิลล์มั่นใจว่ากลยุทธ์ “Experience More” จะช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภค พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
