
MK GROUP ปรับกลยุทธ์รับปี 2568 หลังรายได้ปี 2567 ลดลง 7.5% จากกำลังซื้ออ่อนตัวและการแข่งขันสูง โดยจะมุ่งเน้นการขยายธุรกิจร้านอาหาร-รีเทล ทั้งเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “HIKINIKU TO COME” และรุกตลาดน้ำจิ้มสุกี้ MK ทั่วโลก พร้อมเสริมพอร์ตโลจิสติกส์ M SENKO เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MK GROUP และบริษัทย่อย รายงานผลดำเนินการปี 2567 มีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 15,418 ล้านบาท ลดลง 1,242 ล้านบาท หรือลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรายได้หลักยังคงมาจากแบรนด์เอ็มเค 72% ยาโยอิ 18% แหลมเจริญ 7% และอื่น ๆ 3% โดยช่องทางหลักยังคงเป็น Dine-in ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 85% ดีลิเวอรี่ 9% และซื้อกลับบ้าน 6%
ขณะที่ยอดขายสาขาเดิมได้ปรับตัวลดลง 10.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนตัวลงจากค่าครองชีพและภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น รวมทั้งการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจร้านอาหาร จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารเชนในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ค่าใช้จ่ายฉุดกำไรหด 14.3%
เช่นเดียวกับกำไรสุทธิ ที่ปรับลดลงจาก 1,682 ล้านบาท ในปี 2566 เป็น 1,442 ล้านบาท ลดลง 240 ล้านบาท หรือลดลง 14.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุหลักมาจากที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายในด้านต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิ ค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขาย ฯลฯ โดยได้มีการได้ปรับเพิ่มขึ้น 57.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทยังมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.41 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพการเงินของบริษัทที่ยังคงแข็งแรงและมั่นคง อีกทั้งยังรักษาอัตราส่วนกำไรสุทธิอยู่ในเกณฑ์ดี 9-10% แสดงถึงการบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ซึ่ง MK GROUP ยังอนุมัติการจ่ายเงินปันผล 1.50 บาทต่อหุ้นอีกด้วย
ปรับกลยุทธ์-สร้างการรับรู้แบรนด์
โดยในปี 2568 ทางบริษัทมีการปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ ๆ ที่มีความคุ้มค่าและคงคุณภาพ เพื่อเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ให้มากขึ้น และดึงดูดความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภค ขณะที่ธุรกิจรีเทลมีการเตรียมแผนการขยายช่องทางทั่วโลก และมองหาโอกาสในการเติบโตจากการลงทุนในธุรกิจใหม่
ซึ่งในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร ทางบริษัทได้มองหาโอกาสในการเติบโตจากธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเข้ามาเสริมทัพให้พอร์ตธุรกิจแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ทั้งการเปิดตัว HIKINIKU TO COME (ฮิคินิคุ โตะ โคเมะ) ร้านแฮมเบิร์กเจ้าดังจากประเทศญี่ปุ่น นำเข้ามาเปิดในไทยเป็นสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ จนได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก สร้างยอดขายพุ่งแรง ซึ่งคาดว่ามีโอกาสเติบโตและขยายได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งทางบริษัทเองก็ยังคงเปิดโอกาสในการมองหาการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อเข้ามาเสริมพอร์ตธุรกิจให้แข็งแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รุกขยายช่องทาง-เพิ่มสินค้าใหม่
นอกจากนี้ บริษัทยังมีธุรกิจรีเทลที่มีความโดดเด่นคือ น้ำจิ้มสุกี้ MK ซึ่งมีการวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อและร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการวางจำหน่ายไปทั่วโลก ทั้งโซนเอเชีย, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ยุโรป, อเมริกาเหนือ, ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง
โดยในอนาคตมีแผนที่จะเพิ่มรูปแบบสินค้าใหม่ และขยายช่องทางวางจำหน่ายเพิ่มในอีกหลากหลายประเทศ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางบริษัทมีการวางแผนอย่างรัดกุมและมีกำลังการผลิตที่เพียงพอต่อการขยายด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีอีกหนึ่งธุรกิจในเครือ คือ M SENKO ที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ในกลุ่มสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบครบวงจร ด้วยบริการคลังสินค้าและบริการขนส่งสินค้าแช่เย็น แช่แข็ง โดยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยในปี 2567 ได้รับความไว้วางใจจากหลากหลายกลุ่มลูกค้าจำนวนมาก ทั้งการขนส่งวัตถุดิบสดใหม่ให้กับร้านอาหารชื่อดัง ผลิตภัณฑ์แช่เย็น แช่แข็งที่ถูกจัดส่งให้กับร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจสร้างกำไรเพิ่มขึ้นให้กับบริษัท
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ปัจจุบันมีร้านอาหารในเครือทั้งหมด 13 แบรนด์ โดยร้าน MK Restaurants มีสาขาทั้งหมด 432 สาขา, MK Live 4 สาขา, MK Gold 5 สาขา, YAYOI 191 สาขา, แหลมเจริญ ซีฟู้ด 40 สาขา
HIKINIKU TO COME 1 สาขา, HAKATA Ramen 1 สาขา, MIYAZAKI 8 สาขา, เลอ สยาม 3 สาขา, ณ สยาม 1 สาขา, BIZZY BOX (Grab & Go) 2 สาขา, LE PETIT 3 สาขา, Multibrand 1 สาขา (โมเดลร้านอาหารในเครือรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ความสะดวกและความชอบที่หลากหลาย)
และสาขาแฟรนไชส์ MK Restaurants ในต่างประเทศ คือ ญี่ปุ่น 24 สาขา, เวียดนาม 4 สาขา, ลาว 3 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ แหลมเจริญ ซีฟู้ด ในต่างประเทศ คือ มาเลเซีย 4 สาขา และ MIYAZAKI ที่ประเทศลาว 1 สาขา โดยมีแผนการขยายธุรกิจแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง