
ยักษ์เครื่องดื่มสัญชาติญี่ปุ่น เชื่อตลาดเครื่องดื่มเอเชีย-แปซิฟิกโตแรง แซงญี่ปุ่น-ยุโรป-สหรัฐ หลังกระแส RTD มาแรง ดีมานด์เครื่องดื่มสุขภาพเปลี่ยน วางไทย-เวียดนามตลาดสำคัญ ทุ่มลงทุนเพิ่มกำลังผลิต ชิงดีมานด์-สปีดรายได้
ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ยักษ์เครื่องดื่มสัญชาติญี่ปุ่น ย้ำความสำคัญของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าภูมิภาค/ตลาดอื่น ๆ มาก พร้อมเผยเทรนด์เครื่องดื่มสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงแนวทางธุรกิจและแผนลงทุนในภูมิภาคนี้ รวมถึงไทย ซึ่งถูกวางให้เป็นหนึ่งในตลาดสำคัญ
เอเชีย-แปซิฟิก Growth Engine สำคัญ
มากิโกะ โอโนะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด (Suntory Beverage & Food) หรือ SBF ผู้ผลิตเครื่องดื่ม อาทิ ชาทีพลัส กาแฟบอส แบรนด์รังนก ฯลฯ ฉายภาพว่า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เป็นตัวสร้างการเติบโตที่สำคัญ สำหรับธุรกิจเครื่องดื่มของซันโทรี่ เนื่องจากมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าตลาดอื่น ๆ มาก
โดยคาดว่า ในช่วงปี 2023-2026 ตลาดเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ของเอเชีย-แปซิฟิก จะเติบโต 5-6% ในขณะที่ตลาดญี่ปุ่น เติบโตเพียง 0-1% ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกา เติบโต 3-4% และตลาดยุโรปเติบโต 2-3% เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ซันโทรี่จึงตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ช่วงปี 2023-2026 ในตลาดเอเชีย-แปซิฟิกไว้ที่ 9% ด้านตลาดยุโรปและสหรัฐตั้งเป้าเติบโต 5% ส่วนตลาดญี่ปุ่นอยู่ที่ 2% เท่านั้น
ฟังก์ชั่นด้านสุขภาพใจ-ลดเครียด มาแรง
ผู้บริหารซันโทรี่ เบเวอเรจฯ กล่าวต่อไปว่า ในปี 2025 นี้ เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพยังคงมีศักยภาพเติบโต แต่ความต้องการฟังก์ชั่นในเครื่องดื่มจะเปลี่ยนแปลงไป โดยผู้บริโภคจะมองหาฟังก์ชั่นด้านสุขภาพจิต และการบรรเทาความเครียดมากขึ้น เช่นเดียวกับความต้องการผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยดูแลสุขภาพ
ทั้งนี้เนื่องจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยปัจจุบัน ไทยและสิงคโปร์ เข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” แล้ว และจะขยับไปสู่ “สังคมผู้สูงอายุขั้นสุด” ภายในทศวรรษหน้า ดังนั้น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเป็นตลาดสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่อเนื่องไปในอนาคต
นอกจากนี้เครื่องดื่มแบบพร้อมดื่มหรือ Ready to Drink-RTD เป็นอีกกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบันทำให้ผู้บริโภคต้องการอาหาร-เครื่องดื่มที่บริโภคได้สะดวกและรวดเร็ว
ลงทุนขยายกำลังผลิตในไทย-เวียดนาม
เพื่อสร้างการเติบโตในแต่ละตลาด ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย-แปซิฟิก ยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ในช่วงปี 2024-2026 ซันโทรี่ เบเวอเรจฯ เดินหน้าลงทุนมูลค่า 1,980,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าช่วงปี 2021-2023 ที่ลงทุนไป 1,320,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยครอบคลุมทั้งการลงทุนด้านกำลังผลิตและความยั่งยืน
มากิโกะ โอโนะ ยืนยันว่า เม็ดเงินส่วนใหญ่ของงบฯ 1.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น จะใช้กับการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การขยายกำลังผลิตของโรงงานในไทยที่จังหวัดสระบุรี และขยายกำลังผลิตในเวียดนาม รวมถึงเปิดไลน์การผลิตเครื่องดื่ม RTD ใหม่ในออสเตรเลีย
นอกจากนี้ ยังลงทุนโรงงานผลิตและศูนย์กระจายสินค้าที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในออสเตรเลียและเวียดนาม
สำหรับภูมิภาคอื่น ๆ นั้น ในยุโรปจะเพิ่มศักยภาพการกระจายสินค้า ด้านสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มไลน์การผลิตและขยายโกดังสินค้า ส่วนญี่ปุ่นจะเพิ่มไลน์สินค้าใหม่
เน้นความหลากหลาย กวาดทุกดีมานด์
ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซันโทรี่ เบเวอเรจฯ เสริมว่า สำหรับกลยุทธ์การตลาดไทย บริษัทเน้นเจาะผู้บริโภคแบบรายกลุ่ม ด้วยการเพิ่มความหลากหลายของรสชาติ รูปแบบผลิตภัณฑ์ และคุณสมบัติด้านสุขภาพ สำหรับแต่ละกลุ่ม
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่มีหลากหลายสูตร อาทิ แบรนด์ซุปไก่สกัดที่มีคาร์โนซีนและวิตามินบี 12, แบรนด์รังนกและแบรนด์วีต้า แอสตาแซนธิน เป็นต้น
เช่นเดียวกับชาและกาแฟพร้อมดื่ม ภายใต้การผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ที่มีหลากหลายสูตรเช่นกัน เช่น ทีพลัส สูตรไม่มีน้ำตาล, ทีพลัส ฮันนี่เลมอน, ทีพลัส บราวน์ชูการ์ และกาแฟบอส แบล็ค สูตรไม่มีน้ำตาล และบอส ยูซุ แบล็ค
โดยการพัฒนาสินค้าจะเป็นความร่วมมือระหว่างทีมไทยและญี่ปุ่น ซึ่งมุ่งให้บุคลากรที่มีศักยภาพของไทยเป็นผู้นำในการดำเนินโครงการวิจัยเพื่อแบ่งปันองค์ความรู้และพัฒนาโภชนาการศาสตร์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ผู้บริโภคไม่ใช่เพียงลูกค้า
“มากิโกะ โอโนะ” ยังย้ำว่า ซันโทรี่ไม่ได้มองผู้บริโภคเป็นเพียงลูกค้า แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และความสำเร็จขององค์กรไม่ได้วัดจากตัวเลขผลประกอบการเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความมุ่งมั่นที่จะทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงประสบการณ์ชีวิตและความต้องการที่หลากหลายของผู้คน ตามหลักปรัชญา “Seikatsusha” ซึ่งเป็นหัวใจในการดำเนินงานของ Suntory Beverage & Food
ด้วยเหตุนี้จึงต้องคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ไม่ใช่แค่ในช่วงเวลาของการบริโภคผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่เป็นตลอดทุกช่วงเวลาในการดำเนินชีวิตประจำวัน
โดยอาศัยแนวคิด “Gemba” หรือการลงพื้นที่จริง เพื่อเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค คู่ค้าและพนักงานอย่างแท้จริง ซึ่งข้อมูลที่สำคัญเหล่านี้จะช่วยให้ซันโทรี่มองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทได้ด้วย