
“วอริกซ์” หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของวงการสินค้ากีฬาไทย เร่งสปีดธุรกิจตั้งแต่ต้นปี 2568 ทั้งผนึกพันธมิตรผู้ค้าปลีกสินค้ากีฬาเก่าแก่อายุกว่า 40 ปี ตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ เสริมแกร่งแผนรุกตลาดภูธร รวมไปถึงดึงการบริหารคลังสินค้ากลับมาดูแลเอง เพื่ออุดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2567 และรองรับการเติบโตระยะยาว
โดย “วอริกซ์” ส่งหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติการเข้าร่วมลงทุนตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ ร่วมกับบริษัท เคเอสแอล สปอร์ต จำกัด หรือ KSL ด้วยทุนจดทะเบียน 76 ล้านบาท เพื่อเป็นฮับสำหรับดำเนินธุรกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ วอริกซ์จะถือหุ้น 51% ในบริษัทใหม่
เสริมแกร่งรุกอีสาน
วอริกซ์ สปอร์ต อธิบายว่า เคเอสแอล สปอร์ต เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ากีฬาและอุปกรณ์กีฬาแบบมัลติแบรนด์ อาทิ Warrix, Grand Sport, Cadenza, FBT, Ego Sport, Eureka, Versus และแบรนด์ท้องถิ่นอื่น ๆ ประกอบกิจการมานานกว่า 40 ปี และเป็นผู้บริหารร้านค้าปลีกสินค้ากีฬา “KSL SPORTSHOP” ในจังหวัดขอนแก่น รวมถึงมีการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น TikTok และแพลตฟอร์มต่าง ๆ อาทิ Shopee, Lazada
“ด้วยช่องทางจำหน่ายต่าง ๆ และการเป็นตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ทำให้ KSL เป็นที่ยอมรับในวงการกีฬาท้องถิ่น และมีบทบาทในการส่งเสริมการกีฬาในระดับภูมิภาค”
ทั้งนี้ ยักษ์สินค้ากีฬาหวังว่า การร่วมลงทุนกับ KSL จะช่วยขยายช่องทางจัดจำหน่ายสินค้า โดยเฉพาะในจังหวัดภาคอีสาน พร้อมหนุนการรุกเข้าสู่เซ็กเมนต์งานโครงการหรือการจำหน่ายให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ รวมถึงหนุนการสร้างรายได้ผ่านทางออนไลน์ และลดต้นทุนการกระจายสินค้า
โดยวอริกซ์ระบุว่า ความร่วมมือนี้จะช่วยขยายช่องทางจัดจำหน่ายในหลายจังหวัด เช่น ขอนแก่น, อุดรธานี และร้อยเอ็ด รวมไปถึงการจำหน่ายให้กับโรงเรียน, สโมสรฟุตบอล และหน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ อีกทั้ง KSL ยังสามารถเป็นศูนย์กระจายสินค้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน-เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสินค้า สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้สูงขึ้น
นอกจากนี้ การที่ KSL เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ากีฬาของแท้หลากหลายแบรนด์ ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ โดยเฉพาะ TikTok Live, Shopee และ Lazada ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงได้อีกด้วย
ดึงคลังสินค้ามาดูแลเอง
นอกจากนี้ วอริกซ์ยังปรับแนวทางการบริหารคลังสินค้าใหม่ โดยดึงการบริหารกลับมาดูแลเอง หลังก่อนหน้านี้อาศัยบริการของผู้ประกอบการภายนอก
วอริกซ์อธิบายการตัดสินใจครั้งนี้ว่า เมื่อช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทจะมีรายได้จากการขายและบริการ 447.01 ล้านบาท แม้ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 13.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 แต่ในความเป็นจริง บริษัทสามารถขายสินค้าได้มากกว่ารายได้ที่ปรากฏในงบการเงิน
เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ที่ผู้ให้บริการคลังสินค้ารายใหม่ไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ทันตามกำหนด ส่งผลกระทบต่อรายได้บางส่วนในช่องทางโมเดิร์นเทรด, ร้านค้า และออนไลน์
ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงตัดสินใจเริ่มดำเนินการบริหารคลังสินค้าเอง โดยอาศัยทีมงานที่มีประสบการณ์บริหารคลังกว่า 20 ปี พร้อมกับอัพเกรดสถานที่เป็นคลังที่มีพื้นที่มากขึ้น ช่วยให้สามารถรองรับการเติบโตระยะยาว
ฟุตบอล-คอลแลบส์ดันรายได้ปี’67
สำหรับผลประกอบการปี 2567 นั้น วอริกซ์มีรายได้จากการขายในไตรมาส 4 ปี 2567 อยู่ที่ 447.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.67% และมีกำไรสุทธิ 57.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.06% ส่วนรายได้รวมทั้งปี 2567 อยู่ที่ 1,553.48 ล้านบาท เติบโตขึ้น 26.86% และมีกำไรสุทธิ 148.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.88%
ทั้งนี้ วอริกซ์ระบุว่า สาเหตุหลัก ๆ ที่ผลักดันการเติบโตของรายได้มาจากการเติบโตของสินค้ากลุ่ม Nonlicensed เช่น สินค้าคลาสสิก และสินค้าคอลเล็กชั่น รวมถึงการรุกเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ ผ่านความร่วมมือกับศิลปิน นักดนตรี และนักกีฬา ในการออกแบบสินค้าคอลเล็กชั่นต่าง ๆ เช่นเดียวกับแรงหนุนจากกระแสความนิยมฟุตบอล และฟุตซอลทีมชาติไทยที่มีการแข่งขันตลอดทั้งปี หนุนให้ยอดขายสินค้าทีมชาติเติบโต เช่นเดียวกับการที่ภาครัฐสนับสนุนให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ประชาชนสวมเสื้อเหลืองตราสัญลักษณ์ โดยสามารถใส่แทนชุดยูนิฟอร์มของหน่วยงานได้ ช่วยสร้างดีมานด์สินค้า
ส่วนสินค้า Licensed หรือสินค้าลิขสิทธิ์ เติบโตขึ้นเช่นกัน หลังบริษัทให้การสนับสนุนสโมสรฟุตบอลมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงได้รับสิทธิผลิตและจัดจำหน่ายเสื้องาน “ฟุตบอลสานสัมพันธ์ จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ 2024”
ด้านช่องทางจำหน่ายนั้น ร้านค้าทั่วไปมีการเติบโตสูงสุด เนื่องจากร้านค้ามีการสั่งซื้อสินค้าเพื่อรองรับการขายตลอดทั้งปีมากขึ้น จากการกระตุ้นด้วยโปรโมชั่น รวมถึงการเพิ่มจุดจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นและต่างจังหวัด ขณะที่ยอดขายจากช่องทางออนไลน์ฟื้นตัว
ในส่วนของต้นทุนการขายและการบริการนั้นสามารถควบคุมได้ดีขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับการควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวต่อไปของวอริกซ์ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ที่จะถึงนี้ว่าจะมีทิศทางอย่างไรต่อไป ?