‘โอเรียนท์ฯ’ ย้ำเมดอินเจแปน ชิงตลาดนาฬิกาพรีเมี่ยมแมส

ORIENT STAR ‘โอเรียนท์ฯ’ ย้ำเมดอินเจแปน ชิงตลาดนาฬิกาพรีเมี่ยมแมส

โอเรียนท์ สตาร์ มั่นใจแม้ตลาดนาฬิกาหรูหดตัวต่อเนื่องหลังเศรษฐกิจฝืด-ซัพพลายล้น แต่เซ็กเมนต์พรีเมี่ยมแมส 4 หมื่น-2 แสนบาท แนวโน้มโตแกร่งสวนทางด้วยราคาจับต้องง่ายดึงดูดลูกค้าคนรุ่นใหม่ โหมทำตลาดย้ำโพซิชั่นนาฬิกาเมดอินเจแปน แยกภาพจำโอเรียนท์ ก่อนเล็งจังหวะปี’69 ครบรอบ 75 ปี ผลิตรุ่นพิเศษฉลอง พร้อมชิงฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่

นายคม สัจจวโรดม ผู้จัดการสินค้าแบรนด์ โอเรียนท์ สตาร์ (ORIENT STAR) บริษัท สหกรุงทอง (UKT) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาหรูหลากหลายแบรนด์ กล่าวว่า ตลาดนาฬิกาหรูโดยรวมหดตัวลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ สภาพเศรษฐกิจ การมีซัพพลายมากกว่าดีมานด์ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อเพื่อเก็งกำไรลดลง รวมถึงการเกิดช่วงพีกระหว่างการระบาดของโควิด-19 ทำให้มีฐานเปรียบเทียบที่สูง

อย่างไรก็ตาม ในเซ็กเมนต์นาฬิการะดับพรีเมี่ยมแมส หรือนาฬิการะดับราคา 40,000-200,000 บาท ซึ่งมีสัดส่วน 30-40% ของตลาดรวมนั้น ยังเติบโตถึง 15% หลังระดับราคาที่เข้าถึงง่าย และตัวเลือกที่หลากหลายทั้งนาฬิกาผลิตในญี่ปุ่นและสวิตเซอร์แลนด์

ปัจจัยเหล่านี้ดึงดูดให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจซื้อหาใช้งานในชีวิตประจำวัน พร้อมเสริมภาพลักษณ์และสะท้อนไลฟ์สไตล์ โดยตัดสินใจเลือกซื้อจาก 3 ปัจจัย คือ ดีไซน์, ราคา รวมไปถึงภาพลักษณ์และเรื่องราวของแบรนด์-นาฬิกาแต่ละรุ่น

“เซ็กเมนต์นาฬิกาพรีเมี่ยมแมสยังมีความต้านทานต่อสภาพเศรษฐกิจสูงกว่าเซ็กเมนต์ที่พรีเมี่ยมกว่า เนื่องจากไม่มีการลงทุนหรือการซื้อเพื่อเก็งกำไรมาเกี่ยวข้องมากนัก โดยช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 นี้ยอดขายยังดี เนื่องจากแรงหนุนของโครงการ Easy E-Receipt 2.0 และนาฬิการุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาสถานการณ์การเมืองโลก เนื่องจากกำแพงภาษีอาจกระทบต่อกลุ่มลูกค้า”

เสริมแบรนดิ้งแยกภาพจำ

นายคมกล่าวต่อไปว่า จากแนวโน้มการเติบโตของเซ็กเมนต์พรีเมี่ยมแมสนี้ ทำให้แบรนด์ “โอเรียนท์ สตาร์” ตัดสินใจเร่งสปีดการทำตลาดทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย ด้วยเป้าหมายหลักในการแยกแบรนดิ้งหรือภาพจำของผู้บริโภคออกจากแบรนด์ “โอเรียนท์” พร้อมย้ำโพซิชั่นที่มีความหรูมากกว่า เนื่องจากปัจจุบันนาฬิกาโอเรียนท์สตาร์ยังคงผลิตจากโรงงานในประเทศญี่ปุ่น ส่วนนาฬิกาโอเรียนท์มีฐานผลิตในประเทศไทย

ADVERTISMENT

โดยแต่ละแบรนด์จะโฟกัสการสื่อสารและทำการตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งโอเรียนท์สตาร์จะเน้นเจาะกลุ่มผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 20 ปี ไปจนถึงอายุ 60 ปี มีกำลังซื้อสูงและมีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง

และยุทธศาสตร์นี้จะมีไฮไลต์สำคัญในปี 2569 ซึ่งโอเรียนท์สตาร์จะอาศัยจังหวะครบรอบ 75 ปีของแบรนด์ ผลิตนาฬิการุ่นพิเศษที่มาพร้อมจุดเด่นด้านเทคนิคการผลิตที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นทั้งในส่วนของหน้าปัดและตัวเครื่องจักรนาฬิกา ซึ่งเกิดจากการต่อยอดโนว์ฮาวของไซโกเอปสัน (Seiko Epson Corporation) นำมาใช้กับการผลิตนาฬิกา

ADVERTISMENT

จัดอีเวนต์ย้ำพรีเมี่ยม

สำหรับในปี 2568 นี้ จะเดินหน้ากลยุทธ์สร้างการรับรู้แบรนด์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หนึ่งในนั้นคือการจัดอีเวนต์เปิดตัวสินค้าใหม่ในแนวลักเซอรี่แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อย้ำโพซิชั่นพรีเมี่ยมแมสของโอเรียนท์สตาร์ ที่แตกต่างจากโอเรียนท์ ตัวอย่างเช่น อีเวนต์เปิดตัวนาฬิกาใหม่ 3 รุ่น ในชื่องาน “Orient Star Luxury Urban and Nature” ซึ่งจัดในร้านอาหารดังอย่าง Riedel Wine Bar & Cellar ที่ห้าง Gaysorn Village ให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์

พร้อมกับย้ำความพิเศษและเอ็กซ์คลูซีฟของอีเวนต์ด้วยการนำนาฬิกาโอเรียนท์สตาร์รุ่นพิเศษ ซึ่งอยู่ในระดับ Top of the Line Class จากประเทศญี่ปุ่นมาให้ชมที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกก่อนประเทศอื่น ๆ ในโลก รวมถึงดึงตัว “โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์”ศิลปินนักร้องใหม่ค่าย LOVEiS มาร้องเพลงในงาน

ในขณะที่ตัวนาฬิการุ่นใหม่นั้น มาจากคอลเล็กชั่นคอนเทมโพรารี่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Luxury Urban and Nature” ที่สะท้อนวิถีชีวิตลักเซอรี่ในเมืองกับความเป็นธรรมชาติ สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ โดยนาฬิกาที่นำมาเปิดตัวในครั้งนี้มี 3 รุ่น ประกอบด้วย Orient Star M34 Avant-garde F8 Skeleton ซึ่งเป็นรุ่นเรือธงดีไซน์แนวหรูหราล้ำสมัยราคาเริ่มต้น 87,000 บาท, Orient Star Layered Skeleton มีจุดเด่นเป็นหน้าปัด ซ้อนทับกันสองชั้น ราคาเริ่มต้น 38,000 บาท และ Orient Star Contemporary Date ที่หน้าปัดใช้สีแบบเอิร์ทโทน ราคา 29,000 บาท

ทั้งนี้ Orient Star M34 Avant-garde F8 Skeleton จะมีรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น “Desert Luxury” จะผลิตแบบจำกัดจำนวน 300 เรือน และนำมาจำหน่ายในไทย 25 เรือน ราคาเรือนละ 89,000 บาทด้วย

“นาฬิกา Orient Star นั้น ทางประเทศญี่ปุ่นร่วมกับบริษัทสหกรุงทองมีการทำการตลาดสำหรับแบรนด์นี้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพในประเทศไทยที่สามารถเติบโตได้เพิ่มขึ้น”