ชาวอเมริกันกระอัก ‘ภาษีทรัมป์’ ของกินของใช้จ่อขึ้นราคาสูงสุด 50%

vat
คอลัมน์​ : Market Move

ภาษีทรัมป์ไม่เพียงส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยและอีกหลายร้อยประเทศทั่วโลก แต่ยังกระทบถึงชาวอเมริกันเองด้วย เนื่องจากภาษีนำเข้าที่พุ่งสูงแบบก้าวกระโดดอาจกำลังจะทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า, ของเด็กเล่น, กระดาษชำระ, ผ้าอ้อม, เครื่องเทศ, กาแฟ, ยาสระผม แม้แต่กล้วย จะแพงขึ้นแบบก้าวกระโดด

สำนักข่าว ซีเอ็นบีซี รายงานถึงแนวโน้มที่สินค้าต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกากำลังจะแพงขึ้นแบบก้าวกระโดด เนื่องจากมาตรการของรัฐบาลทรัมป์ ที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากกว่า 180 ประเทศ

โดย สมาคมแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค หรือ ซีบีเอ (Consumer Brands Association-CBA) ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทใหญ่หลายราย เช่น โคคา-โคลา (Coca-Cola), พรอคเตอร์แอนด์ แกมเบิล (P&G), ทาร์เก็ต (Targets) และอื่น ๆ อธิบายว่า วัตถุดิบสำคัญสำหรับผลิตสินค้าหลายชนิดนั้นไม่สามารถหาได้จากในสหรัฐ ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถเลี่ยงผลกระทบจากภาษีได้

“ทอม แมดเร็กกี” (Tom Madrecki) รองประธานด้านการรับมือกับความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานของซีบีเอ ระบุในแถลงการณ์ของสมาคมว่า มาตรการภาษีตอบโต้ที่ไม่คำนึงถึงความพร้อมของวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต ไม่เพียงส่งผลให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังจำกัดโอกาสการเข้าถึงสินค้าราคาจับต้องได้ จนสุดท้ายแล้วจะส่งผลเสียกับผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันตามไปด้วย

สำหรับสินค้าที่สมาคมคาดว่าจะได้รับผลกระทบนั้น มีทั้งอาหารและของใช้ในบ้าน เช่น กล้วย, กาแฟ, โกโก้, วานิลลา, ซีเรียล และผลไม้เขตร้อนต่าง ๆ รวมถึงกล้วย เช่นเดียวกับ กระดาษชำระ, ผ้าอ้อม โลชั่นทาผิว, ยาสระผม ฯลฯ

เนื่องจากตามข้อมูลของหน่วยงานติดตามข้อมูลเศรษฐกิจ (Observatory of Economic Complexity) เมื่อปี 2023 สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้ากล้วยรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งกล้วยที่นำเข้านั้น 40% มาจากกัวเตมาลา ซึ่งจะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 10%

ADVERTISMENT

ขณะที่วานิลลา ซึ่ง 75% ของการนำเข้ามาจากหมู่เกาะมาดากัสการ์ จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 47% หรือข้าวโอ๊ตบดวัตถุดิบสำหรับผลิตซีเรียล ซึ่ง 90% นำเข้าจากแคนาดา นอกจากนี้ สหรัฐยังต้องนำเข้าเยื่อไม้, เส้นใยไม้ไผ่, เชียบัตเตอร์ และน้ำมันปาล์ม โดยน้ำมันปาล์มนั้นนำเข้าจากอินโดนีเซียที่จะถูกเก็บภาษีนำเข้าถึง 32%

ด้านเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์นั้นได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษี 46% จากสินค้านำเข้าจากเวียดนาม ซึ่งเป็นฐานผลิตหลักของแบรนด์แฟชั่นหลายราย เนื่องจากกระแสการย้ายฐานออกจากจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ADVERTISMENT

โดยองค์กรผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีกรองเท้าแห่งอเมริกา (Footwear Distributors and Retailers of America) ระบุว่า เมื่อปี 2023 เกือบ 1 ใน 3 ของรองเท้าที่นำเข้ามาจำหน่ายในสหรัฐนั้นมาจากฐานผลิตในเวียดนาม “แมตต์ พรีสต์” (Matt Priest) ซีอีโอขององค์กรกล่าวว่า ที่ผ่านมาธุรกิจนี้ต้องรับมือกับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้ออยู่แล้ว ดังนั้นมาตรการภาษีนี้จะยิ่งทำให้ครัวเรือนอเมริกาต้องคิดหนักก่อนจะตัดสินใจซื้อสินค้า

ตัวอย่างของแบรนด์ที่จะได้รับผลกระทบคือ ไนกี้ (Nike) เนื่องจากยักษ์สินค้ากีฬาผลิตรองเท้า 50% ในจีนและเวียดนาม โดยรองเท้าที่ขายในสหรัฐนั้น 25% นำเข้าจากเวียดนาม เช่นเดียวกับ อาดิดาส (adidas), เดกเคอส์แบรนด์ (Deckers Brands) เจ้าของแบรนด์โฮก้า (HOKA), วีเอฟ คอร์ป (VF Corp) ผู้บริหารแบรนด์เดอะนอร์ทเฟส (The North Face), ทิมเบอร์แลนด์ (Timberland), แวนส์ (Vans) และแจนสปอร์ต (Jansport) รวมไปถึงแบรนด์ผู้ผลิตรองเท้ารายใหญ่อื่น ๆ ซึ่งต่างพึ่งพาเวียดนามในฐานะฐานการผลิตสำคัญ

ของเด็กเล่นเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โดยราคาอาจพุ่งขึ้นไปถึง 50% หลังก่อนหน้านี้ 2 ยักษ์ของวงการทั้งฮาสโบร (Hasbro) และแมทเทล (Mattel) วางแผนลดผลกระทบจากอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 20% ด้วยการย้ายฐานผลิตจากจีนไปยังเวียดนาม, อินโดนีเซีย และอินเดีย แต่ล่าสุดสินค้านำเข้าจาก 3 ประเทศนี้กำลังจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 46% 32% และ 26% ตามลำดับ

“เกร็ก อะเฮิร์น” (Greg Ahearn) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสมาคมของเล่น ประเมินว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาของเด็กเล่นอาจพุ่งขึ้นไปอย่างต่ำ 35% ไปจนถึงระดับ 50% ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราภาษีนำเข้าที่จะเพิ่มขึ้น 54% เพราะปกติของเด็กเล่นมีอัตรากำไรเพียงเลขหลักเดียวเท่านั้น ทำให้แบรนด์อาจไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้มากนัก และต้องส่งต่อภาระให้ผู้บริโภค

หลังจากนี้ต้องรอดูกันว่าแบรนด์สินค้าแต่ละประเภทจะปรับขึ้นราคาสินค้าของตนมากน้อยแค่ไหน หรือจะใช้กลยุทธ์ใดเพื่อแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดนี้ และที่สำคัญปฏิกิริยาของผู้บริโภคชาวอเมริกันจะเป็นไปในทิศทางใด