‘ชินคันเซ็น-โอ้กะจู๋’ ปั้นแบรนด์ให้ ‘ใช่’ ตั้งแต่วันแรก

hinkanzen-oh ‘ชินคันเซ็น-โอ้กะจู๋’ ปั้นแบรนด์ให้ ‘ใช่’ ตั้งแต่วันแรก
ชนวีร์ หอมเตย-ชลากร เอกชัยพัฒนกุล

ในสมรภูมิธุรกิจร้านอาหารที่มีการแข่งขันสูง การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำและประสบความสำเร็จตั้งแต่ก้าวแรกถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง แต่สองแบรนด์ร้านอาหารสัญชาติไทยสามารถพิสูจน์ว่า การมีคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนและแข็งแกร่งตั้งแต่วันแรก คือกุญแจสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน นั่นคือ “โอ้กะจู๋”ฟาร์มผักออร์แกนิกสู่ร้านอาหารสุขภาพชื่อดัง และ “Shinkanzen Sushi” ร้านซูชิราคาย่อมเยาที่ครองใจคนรุ่นใหม่

โดยทั้ง 2 แบรนด์ได้มาแบ่งปันประสบการณ์ และแนวคิดในการวางคอนเซ็ปต์แบรนด์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนสู่การขยายสาขา และการสร้างแบรนด์ใหม่ ในงานสัมมนา The Entrepreneur Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ “Right Idea, Right Execution คิดคอนเซ็ปต์อย่างไร ให้เป็นแบรนด์ที่ใช่ ตั้งแต่วันแรก” จัดโดยลงทุนแมน

จาก Passion สู่ธุรกิจจริง

“ชนวีร์ หอมเตย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ ฟู้ด ซีเล็คชั่น กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแบรนด์ Shinkanzen Sushi เล่าว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Shinkanzen Sushi มาจากความต้องการมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง และมองเห็นโอกาสจากการที่ละแวกมหาวิทยาลัยยังไม่มีร้านอาหารซูชิที่ราคาเข้าถึงง่ายสำหรับนักศึกษา จึงมีแนวคิดทำร้านซูชิราคาย่อมเยาขึ้นมาภายใต้แบรนด์ “Shinkanzen Sushi” ในตลาดนัดมหาวิทยาลัย

โดยยุทธศาสตร์สำคัญในขั้นนี้คือ การรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าและนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้ได้รับการตอบรับที่ดีเกินคาด จนเรื่องราวของร้านถูกแชร์ลงบนโซเชียลมีเดียเกิดกระแสไวรัลและสร้างการจดจำในวงกว้าง ช่วยให้สามารถเปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ด้าน “ชลากร เอกชัยพัฒนกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด หรือเจ้าของแบรนด์ โอ้กะจู๋ เล่าว่า ช่วงก่อตั้งแบรนด์ “โอ้กะจู๋” นั้น เกิดมาจากความชื่นชอบในการทำเกษตรอินทรีย์ของตนเอง และเพื่อนสนิทอย่างคุณโจ้ ที่ได้แรงบันดาลใจจากการดูงานที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงเริ่มต้นปลูกผักออร์แกนิกบนที่ดินของคุณพ่อในจังหวัดเชียงใหม่

โดยหลังเวลาทดลองปลูกผักนาน 3 ปี จนมั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานออร์แกนิกแล้ว จึงตัดสินใจเปิดร้าน “โอ้กะจู๋” สาขาแรกที่เชียงใหม่ในปี 2556 เน้นเสิร์ฟสลัดและกาแฟเป็นหลัก ก่อนจะได้อานิสงส์จากทำเลในเมืองท่องเที่ยว และกระแสโซเชียลมีเดียมาช่วยให้ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว จนสามารถปักธง สาขาที่ 2 ในเชียงใหม่ได้ในเวลาไม่นาน

ADVERTISMENT

ก้าวข้ามขีดจำกัดสู่ทำเลทอง

ทั้งนี้ เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต อีกปัจจัยสำคัญที่ตามมาก็คือการเลือกทำเลที่เหมาะสม ซึ่งในส่วนของ Shinkanzen Sushi “ชนวีร์” ระบุว่า การพึ่งพาทำเลใกล้มหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียวมีข้อจำกัดเรื่องยอดขายในช่วงปิดเทอมที่อาจจะลดลง และกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้จำกัดเพียงแค่นักเรียน นักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มคนทำงานและครอบครัวด้วย

จึงตัดสินใจขยายสาขาเข้าสู่ห้างสรรพสินค้า และทำเลใจกลางเมืองมากขึ้น โดยจุดเปลี่ยนสำคัญคือการเลือกทำเล “สยามสแควร์” ที่แม้ค่าเช่าและการลงทุนสูงกว่าทำเลอื่นหลายเท่า แต่เชื่อมั่นในศักยภาพของสยามที่เป็นศูนย์กลางกรุงเทพฯ และมีทราฟฟิกหนาแน่น ซึ่งประสบความสำเร็จทำให้สาขาสยามสแควร์ กลายเป็นสาขาที่สร้างยอดขายได้สูงที่สุด และช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

เช่นเดียวกับ “โอ้กะจู๋” ที่แม้จะสำรวจหลายทำเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือก “สยามสแควร์” เป็นหมุดหมายแรก “ชลากร” ให้เหตุผลว่า สยามเป็นสัญลักษณ์ที่คนกรุงเทพฯ รู้จักดี และสามารถสื่อสารการมาถึงของแบรนด์จากเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจนที่สุด แม้จะต้อเผชิญความท้าทายด้านโลจิสติกส์ในการขนส่งผักสดจากเชียงใหม่มายังกรุงเทพฯ และการลงทุนสร้างครัวกลางเพื่อควบคุมคุณภาพก็ตาม

ซึ่งผลตอบรับก็คุ้มค่ากับการลงทุน โดยสาขาสยามสแควร์ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่เปิด และเป็นฐานในการขยายสาขาอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ

แตกไลน์ธุรกิจสร้างโอกาสใหม่

นอกจากนี้ เมื่อแบรนด์หลักติดตลาดและเป็นที่รู้จักในวงกว้างแล้ว การแตกไลน์ธุรกิจใหม่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างการเติบโตและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของตลาด โดย “ชลากร” เปิดเผยว่า “โอ้กะจู๋” วางหลักการสร้างแบรนด์ใหม่ 3 ข้อ ได้แก่ 1.ต้องเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเดิม 2.ตลาดต้องมีขนาดใหญ่พอ และ 3.สามารถสร้างความแตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่เดิมได้

โดยภายใต้แนวคิดนี้จึงได้แตกไลน์แบรนด์ใหม่ออกมาเป็น “Oh! Juice” บาร์น้ำผลไม้สกัดเย็น ที่สามารถใช้วัตถุดิบร่วมกับแบรนด์โอ้กะจู๋ได้ ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว และเข้าถึงง่ายกว่าการทานอาหารมื้อหลักในร้าน

ขณะที่ “Shinkanzen Sushi” จะใช้แนวคิดที่แตกต่างออกไปในการแตกแบรนด์ โดย “ชนวีร์” ระบุว่า มี 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.Customer Journey & Pain Point ที่แก้ปัญหารอคิวซื้อกลับบ้านนาน ด้วยการเปิด “Shinkanzen Go” ร้านซูชิแบบ Grab & Go ที่เน้นความเร็ว โดยแยกครัวออกมาเพื่อความคล่องตัว

2.Market Trends การจับกระแสความนิยมในตลาด เช่น ช่วงที่กระแสบุฟเฟต์เปิดให้ตักไข่ปลาแซลมอน (อิคุระ) ได้ไม่อั้นนั้น บริษัทปั้นแบรนด์ “NAMA Japanese and Seafood Buffet” ขึ้นมารับมือ หรือเทรนด์ความนิยมร้านซูชิสายพาน บริษัทก็พัฒนาแบรนด์ใหม่ “KATSU MIDORI” ร้านซูชิสายพานที่มาตอบโจทย์เทรนด์ดังกล่าว

3.Addressing Pain Points แก้ปัญหาของผู้บริโภคให้ตรงจุด เช่น ผู้บริโภคจำนวนมากอยากที่จะทานหมูกระทะในที่ที่ไม่ร้อน ไม่มีกลิ่นติดตัว และเปิดให้บริการถึงดึก จึงสร้างแบรนด์ “นักล่าหมูกระทะ” ที่ชูจุดเด่นเปิดในห้างสรรพสินค้า และมีระบบดูดควันประสิทธิภาพสูง

เติบโตด้วยพันธมิตรที่ใช่

อย่างไรก็ตาม นอกจากการวางกลยุทธ์ภายในที่แข็งแกร่งแล้ว การมีพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีเข้ามาสนับสนุนก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งการเติบโตของทั้งสองแบรนด์ โดย “โอ้กะจู๋” ได้บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เข้ามาร่วมถือหุ้น 20% และช่วยเสริมความแข็งแกร่งใน 3 ด้าน คือ 1.การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ทราฟฟิก ความหนาแน่นของประชากร เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกทำเลเปิดสาขาใหม่

2.การนำความเป็นมืออาชีพ เข้ามาช่วยวางแผนธุรกิจระยะกลาง-ยาว (3-5 ปี) การทำงบประมาณ และการบริหารที่เป็นระบบมากขึ้น และ 3.การขยายช่องทางจำหน่ายผ่านร้าน Cafe Amazon ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 500 สาขา และการเปิดร้านโอ้กะจู๋ในสถานีบริการ PTT Station ซึ่งบางสาขาทำยอดขายติด Top 5 ของแบรนด์

ขณะที่ “Shinkanzen Sushi” มีบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ CRG เข้ามาถือหุ้นใหญ่ 51% ในช่วงที่แบรนด์มีประมาณ 30 สาขา และมีระบบหลังบ้านที่พร้อมระดับหนึ่งแล้ว โดย “ชนวีร์” กล่าวว่า CRG มีบทบาทสำคัญในการช่วยหาทำเลศักยภาพสูง รวมถึงใช้เครือข่ายและความน่าเชื่อถือช่วยเจรจาต่อรองนำแบรนด์ร้านอาหารชื่อดังจากต่างประเทศเข้ามาเปิดในไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ จากบทเรียนของ “Shinkanzen Sushi” และ “โอ้กะจู๋” แสดงให้เห็นว่าการสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จต้องเริ่มต้นจากคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจน เข้าใจลูกค้า มองเห็นโอกาส ไม่หยุดพัฒนา และพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ รวมถึงการเลือกพันธมิตรที่เหมาะสมเพื่อต่อยอดการเติบโต

ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการปั้นแบรนด์ให้ “ใช่” และครองใจผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืนในสมรภูมิธุรกิจร้านอาหารที่มีการแข่งขันสูง