
“ย่านศรีนครินทร์” เป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพสูงของวงการค้าปลีกในฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ และในปี 2568 ย่านนี้กำลังจะคึกคักกว่าที่เคย ด้วยการแข่งขันระหว่าง 2 ยักษ์ค้าปลีกประจำย่านอย่าง “ซีคอนสแควร์” และ “พาราไดซ์ พาร์ค” ที่ต่างประกาศเสริมเขี้ยวเล็บให้กับโครงการของตน หวังชิงตัวผู้บริโภค และเม็ดเงินมาสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ
มั่นใจศักยภาพศรีนครินทร์
“ตะติยะ ซอโสตถิกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ฉายศักยภาพของย่านศรีนครินทร์ว่า ศักยภาพด้านธุรกิจของย่านศรีนครินทร์สูงขึ้นมาก เห็นได้ชัดจากข้อมูลของระบบสมาชิก “ซีคอนพลัส” ซึ่งปี 2567 ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยในสาขาศรีนครินทร์ เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน ข้อมูลนี้สะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่สูงขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลจากการมีโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักเซอรี่, โรงเรียนนานาชาติ, โรงพยาบาล รวมไปถึงสนามกอล์ฟ ฯลฯ ผุดขึ้นในย่านนี้หลายแห่ง
สอดคล้องกับความเห็นของ “พุทธชาด ศรีนิศากร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการตลาด บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) ที่ยืนยันถึงศักยภาพของผู้บริโภคในย่านศรีนครินทร์ว่า แม้ว่าภาพรวมกำลังซื้ออาจชะลอตัวลง แต่กลุ่มลูกค้าประจำของพาราไดซ์ พาร์ค ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ยังคงใช้จ่ายที่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าและบริการด้านสุขภาพและเวลเนส สะท้อนจากจำนวนผู้ใช้บริการเฉลี่ย 40,000-50,000 คนต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% ในวันที่มีกิจกรรมพิเศษ โดยครอบครัวและผู้สูงวัยที่มีกำลังซื้อสูงที่เป็นลูกค้าหลักใช้จ่ายเฉลี่ย 3,000 บาทต่อบิล และเพิ่มขึ้นเมื่อมีการจัดกิจกรรม
ไลฟ์สไตล์ ปะทะ สุขภาพ
แม้จะเป็นผู้พัฒนาพื้นที่ค้าปลีก แต่ยุทธศาสตร์สำหรับชิงความได้เปรียบของทั้ง “ซีคอนสแควร์” และ “พาราไดซ์ พาร์ค” นั้นต่างไม่มุ่งเน้นด้านค้าปลีกอย่างร้านค้า-ร้านอาหารแบรนด์ดัง เหมือนการแข่งขันระหว่างห้าง-ศูนย์การค้าทั่วไป แต่กลับโฟกัสกับการเป็นมากกว่าพื้นที่ค้าปลีก ด้วยการสร้างความพิเศษหรือความเชี่ยวชาญ (Specialty) ที่หาไม่ได้จากที่อื่น
โดย “ซีคอนสแควร์” เน้นด้านไลฟ์สไตล์ และความบันเทิง เช่น การพบปะเพื่อนฝูง อีเวนต์แสดงงานศิลปะ หรือกิจกรรมบันเทิงแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ
ขณะที่พาราไดซ์ พาร์ค เน้นด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี อาทิ ศูนย์ดูแลสุขภาพ ศูนย์ความงาม และร้านสินค้าสุขภาพ เป็นต้น
“ตะติยะ” กล่าวว่า ความสำเร็จของดองดองดองกิ ร้านค้าปลีกสัญชาติญี่ปุ่น และมันมัน ศรีนครินทร์ โซนงานอาร์ตและไลฟ์สไตล์ขนาด 27,000 ตร.ม. ที่ต่างสามารถดึงดูดผู้บริโภคเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้เห็นศักยภาพของกลยุทธ์สร้างความพิเศษ-ความเชี่ยวชาญให้กับศูนย์ ด้วยสิ่งที่ผู้เล่นอื่นในย่าน หรือแม้แต่ในประเทศยังไม่มี ด้วยเหตุนี้ จึงตัดสินใจทุ่มงบฯ 5,000 ล้านบาท เสริมความพิเศษให้กับศูนย์มากยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่
โดยมีไฮไลต์เป็น โซน MyScape ขนาด 40,000 ตร.ม.ในพื้นที่โรบินสันเดิม ซึ่งจะแบ่งเป็น 4 ชั้นรวมของความพิเศษทั้งด้านความบันเทิง ศิลปะ อาหาร และสินค้า แบ่งเป็น 4 โซนหลัก คือ MyPulse เน้นกิจกรรมความบันเทิงแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ อาทิ Escape Room และพื้นที่สำหรับจัดอีเวนต์, MyChill-Out เป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง พร้อมด้วยร้านกาแฟ เบเกอรี่ ฯลฯ, MyDineScape โซนร้านอาหารที่มีจุดด้านงานออกแบบจำลองบรรยากาศเหมือนอยู่กลางแจ้ง, MySelf แหล่งรวมร้านแก็ดเจต และแฟชั่น
และปรับปรุงสวนสนุกโยโย่แลนด์ ซึ่งเป็นสวนสนุกในร่มแห่งเดียวในประเทศไทย สำหรับรองรับกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่
ส่วน “มันมัน ศรีนครินทร์” ยังเดินหน้าย้ำการเป็นศูนย์คราฟต์ หรือพื้นที่ค้าปลีกด้านศิลปะและงานคราฟต์แห่งแรกของไทย และต่อยอดไปสู่ Art Destination ด้วย
ทั้งนี้ ดร.จักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารการตลาด ย้ำความเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันรายได้ของซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ ปี 2569 ให้เติบโตถึง 20% หลังปี 2567 มีรายได้ 3,345 ล้านบาท เติบโต 12% ส่วนปี 2568 คาดว่ารายได้จะเติบโต 8-10% ลดลงเล็กน้อย เนื่องจากการปิดพื้นที่รีโนเวตโครงการ
ไปในทิศทางเดียวกับ “พาราไดซ์ พาร์ค” ที่ตัดสินใจย้ำโพซิชั่นศูนย์การค้าที่เป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพให้เด่นชัดยิ่งขึ้น โดย “พุทธชาด” กล่าวว่า เทรนด์ด้านสุขภาพกำลังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงวัยและผู้ที่มีกำลังซื้อซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
ประกอบกับการสนับสนุนจากภาครัฐที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก จึงทำให้เล็งเห็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างและดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ด้วยการที่จะมุ่งเน้นไปที่ Health & Wellness และมีโรงพยาบาลรามาธิบดีมาเป็นพันธมิตรหลัก ที่ถือเป็นจุดแข็งที่คู่แข่งไม่มี
ดังนั้นช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้มีแผนนำศูนย์ไตเทียมมาเปิดในพื้นที่ หลังที่ผ่านมาปรับพื้นที่กว่า 17,000 ตร.ม. บนชั้น 3 เป็นโซน Health & Wellness เต็มรูปแบบ โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ “รามาธิบดี เฮลธ์ สเปซ@พาราไดซ์ พาร์ค” ศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจรนอกโรงพยาบาล ที่ให้บริการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รองรับผู้ป่วยได้ไม่ต่ำกว่า 300 รายต่อวัน และยังมีคลินิกแพทย์แผนปัจจุบัน, แพทย์ทางเลือก, ศูนย์ความงาม และร้านค้าเพื่อสุขภาพ รวมกว่า 50 ร้านค้าอีกด้วย
ขณะเดียวกันยังมีการจัดแคมเปญตามฤดูกาลและเทศกาลต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและสร้างการรับรู้ ขณะที่ในส่วนของการดึงดูดร้านค้าใหม่ ๆ นอกเหนือจากโรงพยาบาลรามาธิบดี ปัจจุบันมีร้านอาหารชื่อดังอย่าง คอฟฟี่บีน บาย ดาว รวมถึงร้านค้าไลฟ์สไตล์ เช่น อีฟแอนด์บอย ยามาซากิ และสเก็ตเชอร์ เข้ามาเปิดให้บริการแล้ว
พร้อมเตรียมงบฯการตลาดไว้ราว 100 ล้านบาทต่อปี เพิ่มความเข้มข้นของการทำตลาดแบบ 360 องศา ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าสมาชิก “เอ็มบีเค พลัส” ที่มีกว่า 250,000 ราย และแอ็กทีฟประมาณ 30%
ทั้งนี้ คาดว่าจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและดึงดูดลูกค้าที่มีคุณภาพ โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้เข้าใช้บริการเป็น 60,000 คนต่อวัน และมีอัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มจาก 86% เป็น 98% ภายในสิ้นปี 2568 นี้
หลังจากนี้ต้องรอดูกันว่า ยุทธศาสตร์ของทั้ง 2 รายจะเพิ่มความคึกคักและยอดจับจ่ายให้กับศูนย์ของแต่ละราย และตัวย่านศรีนครินทร์ได้มากน้อยแค่ไหน