ไทยเบฟ กำไรสุทธิครึ่งแรกปี’68 วูบ 9.2% หลังต้นทุนพุ่ง

ไทยเบฟ

ไทยเบฟ เผยผลงานครึ่งแรกของปี ’68 (ต.ค.67- มี.ค.68) กำไรสุทธิลด 9.2% หลังทุกธุรกิจยกเว้นเบียร์ต่างมีกำไรสุทธิลดลง โดยเฉพาะสุราที่กำไรสุทธิหายไปกว่า 1,300 ล้านบาท หลังต้นทุนพุ่งสูง และการลงทุนด้านการตลาด

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) อัพเดตผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปีงบฯ 2568 (ต.ค. 67 – มี.ค. 68) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 โดยมีกำไรสุทธิ 17,769 ล้านบาท ลดลง 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ขณะที่รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเพียง 1% เป็น 177,617 ล้านบาท

การลดลงของกำไรสุทธินี้ เนื่องจากหลายธุรกิจในพอร์ตต่างมีกำไรสุทธิลดลงไม่ว่าจะเป็นสุรา, เครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์, อาหาร และธุรกิจอื่น ๆ จนแม้ธุรกิจเบียร์จะทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 19% เป็น 3,152 ล้านบาท ก็ไม่สามารถชดเชยกับภาพรวมทั้งเครือได้

ธุรกิจสุราต้นทุนพุ่ง ทำกำไรหดแรง

ธุรกิจสุรา ช่วงไตรมาส 2 (ม.ค.-มี.ค.’68) มีรายได้จากการขาย 32,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% เนื่องจากการบริโภคในไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ปริมาณการขายสุราเพิ่มขึ้น 2.6% เป็น 173.9 ล้านลิตร ส่วนปริมาณการขาย Rock Mountain Soda ลดลง 0.8% เหลือ 10.2 ล้านลิตร

แต่การเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบและการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรขั้นต้นลดลง 2.3% เหลือ 10,813 ล้านบาท เช่นเดียวกับกำไรก่อนหักภาษีฯ (EBITDA) ลดลง 5.4% เหลือ 7,702 ล้านบาท และกำไรสุทธิลดลง 5.5% เหลือ 5,755 ล้านบาท

สถานการณ์ในไตรมาสสอง ทำให้ช่วง 6 เดือนแรกของปีงบฯ ’68 ธุรกิจสุรามีรายได้จากการขาย 64,520 ล้านบาท ลดลง 1.5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากยอดขายที่ลดลงในช่วงไตรมาสแรก แม้จะมีการฟื้นตัวในไตรมาสที่สองก็ตาม ส่วนปริมาณการขายสุรารวมลดลง 1.9% มาอยู่ที่ 335.5 ล้านลิตร ในขณะที่ปริมาณการขาย Rock Mountain Soda เพิ่มขึ้น 1.2% เป็น 21.1 ล้านลิตร

ADVERTISMENT

ด้านกำไรของธุรกิจสุราได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 21,662 ล้านบาท ลดลง 3.8% ส่วน EBITDA ลดลง 8.9% เป็น 15,652 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 11,601 ล้านบาท ลดลง 10.3%

ธุรกิจเบียร์ ผลงานไตรมาสแรกช่วยหนุน

ธุรกิจเบียร์ ช่วงไตรมาส 2 รายได้จากการขายลดลง 2.4% เหลือ 30,094 ล้านบาท หลังเผชิญความท้าทายในตลาดต่างประเทศ ขณะที่ปริมาณการขายรวมเพิ่มขึ้น 2.6% เป็น 567.4 ล้านลิตร โดยปริมาณการขายไม่รวมเบียร์ของ Sabeco เพิ่มขึ้น 14.3% มาอยู่ที่ 265.6 ล้านลิตร ส่วนปริมาณการขาย Chang Soda และ Chang Water เพิ่มขึ้น 15.6% เป็น 20.9 ล้านลิตร

ด้านกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 2.3% เป็น 7,225 ล้านบาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบลดลง และประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น ส่วน EBITDA ลดลง 3.1% เหลือ 3,735 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายในการบริหารส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดซ้ำจากการสูญเสียมูลค่ายุติธรรมจากการลงทุนในบริษัทร่วมที่เข้าซื้อกิจการในเวียดนาม

ส่วนช่วง 6 เดือนแรก ธุรกิจเบียร์มีรายได้จากการขาย 66,201 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มสูงในไตรมาสแรก สามารถชดเชยสถานการณ์ในไตรมาสสองได้ ทำให้ปริมาณการขายรวมเพิ่มขึ้น 7.4% เป็น 1,240.3 ล้านลิตร โดยปริมาณการขายไม่รวมเบียร์ของ Sabeco เพิ่มขึ้น 19% มาอยู่ที่ 549.4 ล้านลิตร ส่วนปริมาณการขาย Chang Soda และ Chang Water เพิ่มขึ้น 12.4% เป็น 48.2 ล้านลิตร

ด้านกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 5.9% เป็น 15,538 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย ต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ลดลง และประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น ส่วน EBITDA เพิ่มขึ้น 6.7% เป็น 8,170 ล้านบาท ตามการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้น ส่งผลต่อเนื่องให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 19% เป็น 3,152 ล้านบาท

ธุรกิจเครื่องดื่มน็อนแอลฯ ภาษีฉุดกำไร

เครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์ ในไตรมาส 2 มีรายได้จากการขายลดลง 1.9% เหลือ 16,483 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนสินค้าในพอร์ตโฟลิโอ ด้านปริมาณการขายรวม อยู่ที่ 838.1 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 7.5 ล้านลิตร หรือ 0.9% จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายน้ำดื่มและผลิตภัณฑ์นม

โดยกำไรขั้นต้นลดลง 2.6% เหลือ 6,020 ล้านบาท จากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนสินค้าในพอร์ตฯ ไปในทิศทางเดียวกับ EBITDA ที่ลดลง 16.6% เหลือ 2,808 ล้านบาท เนื่องจากการลงทุนด้านกิจกรรมการตลาด และถึงส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ลดลง ส่งผลต่อเนื่องให้กำไรสุทธิลดลง 33.5% เหลือ 1,262 ล้านบาท

สำหรับช่วง 6 เดือนนั้น ธุรกิจเครื่องดื่มน็อนแอลฯ มีรายได้จากการขาย: 33,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายในทุกประเภทสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มน้ำดื่มและน้ำอัดลม หลังปริมาณการขายรวมเพิ่มขึ้น 4.1% มาอยู่ที่ 1,667.4 ล้านลิตร

ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นประกอบกับต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง และประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น หนุนให้กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6%

อย่างไรก็ตาม EBITDA ลดลง 1.7% เหลือ 6,140 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าที่ลดลง และการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 3,114 ล้านบาท ลดลง 11.3% ตามการลดลงของ EBITDA และค่าใช้จ่ายด้านภาษีที่สูงขึ้นเนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีสิ้นสุดลง

ธุรกิจอาหารต้นทุนพุ่งทำกำไรลด 61%

ธุรกิจอาหาร ช่วงไตรมาสสอง มีรายได้จากการขาย 5,456 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.9% ขณะที่กำไรขั้นต้น อยู่ที่ 2,113 ล้านบาท ลดลง 1.6% ด้วยผลกระทบหลักจากการลดลงของรายได้จากการขายและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น

ส่วน EBITDA อยู่ที่ 517 ล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 18.1% จากการลดลงของกำไรขั้นต้นและการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับแรงงานและการตลาด การลดลงของ EBITDA ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลงถึง 97.5% เหลือ 3 ล้านบาท

สำหรับช่วง 6 เดือน ธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขาย 11,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% และมีกำไรขั้นต้น 4,353 ล้านบาท ลดลง 0.5% จากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม EBITDA ลดลง 12% เหลือ 1,179 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านแรงงานและการตลาด นอกจากนี้ กำไรสุทธิยังลดลงหนักถึง 61% เหลือ 124 ล้านบาท จากการลดลงของ EBITDA และค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาร้านอาหาร

ดีลแลกหุ้นเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ พ่นพิษ

สำหรับกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ นั้นช่วง 6 เดือนมีรายได้จากการขาย: 2,438 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากรายได้ค่าสิทธิ์ที่ลดลง ผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สิงคโปร์ แม้ส่วนหนึ่งถูกชดเชยด้วยยอดขายด้านการศึกษาที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ก็ตาม

ส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 523 ล้านบาท ลดลง 15.8% ตามการลดลงของรายได้จากการขาย ด้าน EBITDA ขาดทุน 30 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการ ไม่มีส่วนแบ่งกำไรจากเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ (FPL) ในปีนี้ ส่งผลต่อเนื่องให้ธุรกิจนี้ขาดทุนสุทธิ 222 ล้านบาท