ไม่บ่อยนักที่ผู้บริหารระดับสูงจากค่ายกระทิงแดง จะออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
ล่าสุด สราวุฒิ อยู่วิทยา ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ TCP ได้เชิญสื่อร่วมงานแถลงข่าวครั้งใหญ่ ถึงการลงทุนที่จะเกิดขึ้นภายใน 5 ปีข้างหน้า เป็นมูลค่าถึง 10,000 ล้านบาท มากที่สุดนับตั้งแต่กระทิงแดงก่อตั้งมา 61 ปี
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
แถมเงินลงทุนก็มาจากกระแสเงินสดของบริษัทเอง ตามนโยบาย Debt Free ของ เฉลียว อยู่วิทยา (คุณพ่อ และผู้ก่อตั้งบริษัทกระทิงแดง) ที่วางเอาไว้ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทว่า ไม่ควรกู้ยืมโดยไม่จำเป็น
“สราวุฒิ” ในฐานะแม่ทัพของเครือกระทิงแดง ได้กำหนดวิสัยทัศน์ และเป้าหมาย ของบริษัทในกลุ่ม TCP ทั้ง 4 บริษัท อันได้แก่ บริษัท ที.ซี. ฟาร์มาซูติคอล จำกัด บริษัทเครื่องดื่ม กระทิงแดง จำกัด บริษัท ที.จี.เวนดิ้ง แอนด์ โชว์เคส อินดัสทรีส์ จำกัด และบริษัท เดอเบล จำกัด
อันเป็นเจ้าของ ผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์กระทิงแดง เร้ดดี้ โสมพลัส สปอนเซอร์ แมนซั่ม เพียวริคุ และซันสแนค ให้เดินไปในไดเร็กชั่นเดียวกัน นั่นก็คือ การทำให้ธุรกิจของคนไทยและแบรนด์สินค้าไทยไปผงาดบนเวทีระดับโลก
การเป็นองค์กรเช่นนั้น ทำให้ต้องออกมาเปิดเผยข้อมูลให้คนทั่วไปได้รับทราบมากขึ้น ต่างจากในอดีต ที่เป็นอันรู้กันว่าค่ายกระทิงแดงจะบริหารแบบ Low Profile มาโดยตลอด
”สราวุฒิ” เล่าถึงเป้าหมายในระยะ 5 ปี จากการลงทุนดังกล่าวว่า เขาต้องการให้ ภายในปี 2565 กลุ่มของ TCP จะต้องเติบโตขึ้นจากวันนี้ 3 เท่า คิดเป็นยอดขาย 1 แสนล้านบาท ซึ่งเขามองว่า 80% จะเป็นรายได้ที่มาจากต่างประเทศ จากสัดส่วน 60% ในปัจจุบัน
ด้วยโอกาสที่มากขึ้น ศักยภาพของสินค้าและขนาดของตลาดที่มหาศาล ไม่ว่าจะเป็น เอเนอร์จี้ดริงก์ สปอร์ตดริงก์ หรือฟังก์ชั่นนอลดริงก์ ที่จะเป็นกลุ่มหลัก ๆ ในการเข้าไปเจาะช่วงแรก
โดยจะใช้เม็ดเงินเพื่อลงทุนกับ 3 เรื่อง นั่นก็คือ 1.เพิ่มขีดความสามารถของบุคลากร ทั้งฝ่ายบริหารและพนักงานทุกระดับชั้น รวมถึงการเสริมทีมด้วยมือดีจากบริษัทข้ามชาติชั้นนำเข้ามาหลายตำแหน่ง 2.การขยายและพัฒนากำลังการผลิตรวมถึงพอร์ตโฟลิโอใหม่ ๆ 3.การเพิ่มฐานที่มั่นในต่างประเทศ โดยการเปิดสำนักงานหรือโรงงานอย่างน้อยปีละ 1 แห่ง
เนื่องจากทุกวันนี้ กลุ่ม TCP ยังใช้การโอเปอเรตจากออฟฟิศที่ไทยเป็นหลัก แม้สินค้าของเครือรวมถึงหัวเชื้อกระทิงแดง และเร้ดบูล ถูกส่งไปจำหน่ายแล้วใน 170 ประเทศทั่วโลก ขณะที่เทรนด์การบริโภคในปัจจุบันเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ สราวุฒิ มองว่า ปัจจัยที่จะทำให้กลุ่มประสบความสำเร็จในตลาดต่างประเทศ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้าไปตอบความต้องการของคนในแต่ละพื้นที่ให้ได้ การเปิดสำนักงานจึงไม่ใช่แค่การเข้าไปตั้งทีมขาย แต่จะไปแบบฟูลทีม ทำตลาดแบบครบครัน
“เราต้องเข้าใจผู้บริโภคในทุกที่ที่เราไป เป็นยุคของการ Customize Product ให้ตอบโจทย์มากที่สุด ไม่ใช่ One Size Fit All อีกต่อไป ความต้องการของผู้บริโภคหลากหลายมากขึ้น ไลฟ์สไตล์ ความแตกต่างในแต่ละประเทศ ถ้าเราไม่มีคนในพื้นที่ หรือทีมที่เข้าไปพัฒนาได้ใกล้ชิดพอ ก็จะทำให้เราหลุดกระแสตรงนั้น”
ในแง่ของการผลิตเพื่อซัพพอร์ตการเติบโตก้าวกระโดดเช่นนี้ สราวุฒิ ระบุว่า จะได้เห็นโรงงานแห่งใหม่ในไทยอย่างน้อย 1 แห่ง จากปัจจุบันในกลุ่มมีโรงงานผลิตที่ไทย 2 แห่ง และโรงงานในต่างประเทศ 3 แห่ง ในอินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน มีกำลังการผลิตรวมกันกว่า 1 พันล้านลิตรต่อปี ซึ่งขณะนี้เดินเครื่องการผลิตกว่า 80-90% ไปแล้ว ส่วนออฟฟิศ สำนักงาน เบื้องต้น คาดว่าจะตั้งในอาเซียน ก่อนขยายไปยังที่อื่น ๆ ต่อไป
ไม่เฉพาะเครื่องดื่มกระทิงแดงเท่านั้นที่จะเป็นโปรดักต์ฮีโร่ในการบุกทะลวงตลาดต่าง ๆ แต่ TCP จะเข็น House of Brand อันมีสินค้าทั้งหมด 8 แบรนด์ 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งชูกำลัง เกลือแร่ ฟังก์ชั่นนอลดริงก์ ชาพร้อมดื่ม ขนมขบเคี้ยว และหัวเชื้อเครื่องดื่มเร้ดบูลดั้งเดิม เข้าไปแบบครบทั้งองคาพยพ
”การที่เรามีสินค้าหลายแบรนด์ หลายกลุ่ม นอกจากจะสร้างการเติบโตได้หลายเซ็กเมนต์ ก็เป็นการป้องกันความเสี่ยงได้อย่างหนึ่ง แม้ในช่วงนี้เศรษฐกิจโลกหรือในประเทศเองก็ไม่ได้ดีนัก การแข่งขันก็รุนแรงมาก แต่นั่นเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ควบคุมได้คือการทำตัวเราให้แข็งแรง มีความพร้อมรอบด้าน มากกว่าที่จะไปกังวลกับปัจจัยภายนอก”
”สราวุฒิ” ระบุว่า การทำงานทุกครั้งที่มีวิกฤต ก็ต้องมาวางแผนกันใหม่ เรียกว่า ทำไป คิดไป ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น น้ำท่วม หรือตลาดจีนที่กำลังมีปัญหา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีความสำคัญมาก แม้ในช่วงนี้จะต้องหยุดไป แต่กำลังคิดแผนที่จะเดินหน้าต่ออย่างแน่นอน
ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา กลุ่ม TCP มียอดขายอยู่ที่ 14,600 ล้านบาท ในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการขยายพอร์ตโฟลิโอใหม่ ๆ เช่น แมนซั่มสูตรน้ำตาลน้อย ไลฟ์บายสปอนเซอร์ ฯลฯ และคาดว่าภายในสิ้นปีจะมียอดขายทั้งสิ้น 30,000 ล้านบาท เติบโต 8% จากปีก่อนที่มีรายได้ 28,000 ล้านบาท
โดย “แม่ทัพใหญ่” เครือกระทิงแดง ยังคงย้ำว่า ธุรกิจของกลุ่ม TCP ยังคงบริหารกันแบบ Family Business แต่จะมีความมืออาชีพมากขึ้น และไม่ใช่การบริหารแบบ One Man Show อีกต่อไป
เพื่อก้าวสู่องค์กรระดับแสนล้าน ที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันไม่แพ้องค์กรอื่นในระดับโกลบอล
เพราะเป้าหมายมีไว้พุ่งชน…