
BDMS เผยปี’68 ไตรมาส 2-4 ยังท้าทาย ส่ง 4 ยุทธศาสตร์ดันรายได้-กำไร โฟกัสโรคซับซ้อน เดินสายคอลแลปบริษัทประกัน สปีดธุรกิจร้านยา-แลป ต่อยอดสุขภาพเชิงป้องกัน พร้อมคุมค่าใช้จ่าย หวังสปีดเติบโตสูงกว่า GDP 2-3 เท่า
นางนฤมล น้อยอ่ำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2568 นี้ ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนยังคงมีความท้าทายสูงจากสภาพเศรษฐกิจและสงครามการค้า ที่ส่งผลต่อความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภค สวนทางกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้นตามความร้านแรงของโรค
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยแรงหนุนจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย และเทรนด์การดูแลสขุภาพ
เพื่อรับมือความท้าทายในปีนี้ และผลักดันรายได้-กำไรให้เติบโตในระดับ 2-3 เท่าของ GDP ตามที่ตั้งเป้าไว้ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 นี้ บริษัทจะโฟกัส 4 ยุทธศาสตร์ประกอบด้วย 1.การรักษาโรคซับซ้อน เช่น โรคเกี่ยวกับสมอง, หัวใจ, กระดูก ฯลฯ ซึ่งมีดีมานด์และอัตรากำไรสูง ด้วยศูนย์ Center of Excellence ทั้ง 12 แห่ง
2.การรุกเข้าตอบโจทย์กลุ่มผู้ที่ไม่ป่วย แต่สนใจดูสุขภาพ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 70% ประชากร ด้วยบริการตรวจสุขภาพและการป้องกันโรค 3.การผลักดันรายได้จากธุรกิจที่ไม่ใช่โรงพยาบาล เช่น ร้านยา และห้องแลป 4.การผนึกกำลังกับบริษัทประกันเพื่อขยายฐานลูกค้าผ่านความร่วมมือต่าง ๆ อาทิ แคมเปญฉีดวัคซีน และอื่น ๆ
ประเดิมด้วย แคมเปญ “BDMS PREVENTIVE VACCINE” ซึ่งผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพจากบริษัทต่าง ๆ สามารถแสดงหลักฐานเพื่อเข้ารับบริการได้ฉีดวัคซีน 4 โรคหลัก ประกอบด้วย วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ สำหรับผู้ใหญ่ราคา 500 บาท และเด็ก ราคา 700 บาท บาท วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบ ราคา 3,500 บาท วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก (2 เข็ม) รวมราคา 3,900 บาท และวัคซีนป้องกันโรควัคซีนงูสวัด (2 เข็ม) รวมราคา 11,500 บาท ที่โรงพยาบาลในเครือ BDMS ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม-30 มิถุนายน 2568
โดยคาดว่าตลอดช่วงแคมเปญนี้จะมีผู้รับบริการวัคซีนมากกว่า 36,000 คนทั่วประเทศ
“แคมเปญนี้ไม่เพียงสอดคล้องกับเป้าหมายการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มผู้มีประกันสุขภาพ แต่ยังสนับสนุนแนวทางเน้นบริการด้านป้องกันโรค ด้วยการช่วยให้ผู้บริโภคมาฉีดวัคซีน และการโฟกัสการรักษาโรคซับซ้อน เพราะการฉีดวัคซีนจะลดผู้ป่วยโรคไม่ซับซ้อนลง”
ในส่วนของแผนลงทุนปี 2568 นี้เน้นการลงทุนขยายจำนวนเตียงในโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิมเป็นหลัก โดยเตรียมเปิดอาคารใหม่ของโรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ และเปิดโรงพยาบาลพญาไทบ่อวิน จังหวัดชลบุรี
หลังเมื่อเดือนมีนาคม 2568 เปิดอาคารโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ขนาด 103 เตียง ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ไปแล้ว
คาดว่าจะสามารถขยายจำนวนเตียงรวมของทั้งเครือจากปัจจุบัน 8,000 เตียง เป็น 9,000 เตียงได้ภายในสิ้นปี 2568
ทั้งนี้เชื่อว่าด้วยการโฟกัสกับ 4 ยุทธศาสตร์จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรในไตรมาส 2, 3 และ 4 ของปี 2568 ให้เติบโตในระดับเดียวกับไตรมาส 1 ที่ผ่านมาซึ่งรายได้จากการดำเนินงานรวม อยู่ที่ 28,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส 1 ปี 2567 ส่วนกำไรสุทธิ อยู่ที่ 4,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7%
หลังรายได้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น 6% จากการเติบโตของรายได้จากผู้ป่วยชาวไทย 4% และรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติ 11% รวมถึงการควบคุมต้นทุนที่ดี