
“มากุโระ กรุ๊ป” เดินเกมรุกไม่หวั่นเศรษฐกิจซบ เปิดตัวแบรนด์ใหม่ลำดับที่ 6 “BINCHO” (บินโช) ร้านอาหารญี่ปุ่นย่างถ่านสไตล์ดั้งเดิม ชูคอนเซ็ปต์ “Washoku for now” เจาะกลุ่มพรีเมี่ยมแมสด้วยราคาเข้าถึงง่าย 300-600 บาท พร้อมกางแผนขยาย 10-20 สาขาใน 3 ปี ขณะที่ทั้งกรุ๊ปยังคงเป้าเติบโตรายได้ 30% ในปีนี้ แม้เผชิญกำลังซื้อหดตัว แต่ได้สาขานอกเมืองช่วยพยุง
นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงส่งผลกระทบต่อสาขาในใจกลางเมืองอย่างเห็นได้ชัด
โดยสาขาของมากุโระ กรุ๊ป ในพื้นที่กลางเมืองได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักจากการหายไปของนักท่องเที่ยวและพฤติกรรมการประหยัดของคนทำงานในเมือง ขณะที่สาขาในพื้นที่รอบนอกเมืองและโซนที่อยู่อาศัย เช่น ย่านราชพฤกษ์ บางนา แจ้งวัฒนะ กลับไม่ได้รับผลกระทบและบางสาขายังคงเติบโตได้ดี
ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทก็ได้มีการปรับกลยุทธ์ด้วยการหลีกเลี่ยงการทำสงครามราคา แต่หันมาจัดแคมเปญใหญ่ในโอกาสครบรอบ 10 ปี ด้วยการนำวัตถุดิบพรีเมี่ยมมาทำในราคาพิเศษ (Shock Price) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีและช่วยให้ยอดขายกลับมาเป็นบวกในช่วงที่จัดแคมเปญ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนภายในให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (Cost Efficiency) และพัฒนาแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

ส่งแบรนด์ใหม่-เสริมทัพพอร์ตฯ
ล่าสุดบริษัทเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “BINCHO” (บินโช) ร้านอาหารย่างถ่านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ที่ศูนย์การค้าเมกา บางนา ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่จะเข้ามาช่วยเสริมสร้าง Ecosystem ของกลุ่มร้านอาหารญี่ปุ่นให้สมบูรณ์และครอบคลุมหลากหลายเซ็กเมนต์ นอกเหนือจากแบรนด์เดิมอย่าง MAGURO, HITORI Shabu และ AOKI Tonkatsu
สำหรับไฮไลต์แบรนด์ใหม่ “BINCHO” (บินโช) จะมาภายใต้แนวคิด “Washoku for now” ที่นำเสนอแก่นแท้ของวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่นจากชนบทสู่ชีวิตคนเมือง โดยมีหัวใจสำคัญคือการย่างอาหารบนเตา “อิโรริ” ซึ่งเป็นเตาโบราณกลางบ้านของชาวญี่ปุ่น และใช้ “ถ่านบินโชตัน” หรือถ่านไม้ขาวคุณภาพสูงที่ให้ความร้อนสม่ำเสมอและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ทำให้วัตถุดิบที่นำมาย่าง ไม่ว่าจะเป็นปลา เนื้อวัว หมู หรือไก่ มีผิวสัมผัสที่กรอบเกรียมแต่เนื้อในยังคงความชุ่มฉ่ำ
“ซึ่งแนวคิดของ BINCHO เกิดขึ้นจากการที่เรามองเห็น Pain Point ของผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว ที่ต้องการควบคุมงบประมาณในการทานอาหารแต่ละมื้อ การเสิร์ฟในรูปแบบ “เทโชกุ” หรืออาหารเซตที่มาพร้อมข้าว ซุป และเครื่องเคียงครบครัน ในราคาที่เข้าถึงง่ายเฉลี่ย 300-600 บาทต่อคน จึงตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี โดยภายใน 2-3 ปี ตั้งเป้าที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 10-20 สาขา โดยเน้นทำเลในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก ด้วยงบฯ ลงทุนประมาณ 10 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งสาขาที่ 2 มีแผนจะเปิดในช่วงต้นปี 2569″
ด้านนายธีรภพ กรานเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO กล่าวเสริมว่า สำหรับกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ BINCHO หลัก ๆ จะเน้นไปที่การสร้างเรื่องราว (Storytelling) และสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า ผ่านบรรยากาศร้านที่โดดเด่นและครัวเปิดที่ลูกค้าสามารถเห็นกระบวนการปรุงอาหารได้ทุกขั้นตอน พร้อมทั้งอาศัยฐานลูกค้าสมาชิกของกลุ่มที่มีอยู่กว่า 250,000 รายในการสื่อสารและสร้างการรับรู้
ลดพึ่งพิงแบรนด์หลัก
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจของ “มากุโระ กรุ๊ป” ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 เบื้องต้นยังคงมีแผนขยายสาขาใหม่รวมทั้งสิ้น 8 สาขา ประกอบด้วย BINCHO 1 สาขา, MAGURO 2 สาขา, ฮิโตริ ชาบู 2 สาขา, ทงคัตสึ อาโอกิ 2 สาขา และแบรนด์ใหม่ที่เตรียมจะเปิดตัวในช่วงเดือนสิงหาคมนี้อีก 1 สาขา
“ปัจจุบันรายได้หลักของกรุ๊ปยังมาจากแบรนด์ MAGURO ในสัดส่วนประมาณ 50% แต่ทิศทางในอนาคตคือการลดการพึ่งพิงรายได้จากแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งลง แบรนด์อื่นในพอร์ตอย่าง ฮิโตริ ชาบู และ ทงคัตสึ อาโอกิ ก็มีแนวโน้มการเติบโตที่สูงมาก เราต้องการวางตำแหน่งตัวเองเป็น “นักสร้างสรรค์แบรนด์” ที่มอบประสบการณ์มื้ออาหารที่ดี ไม่จำกัดเฉพาะอาหารญี่ปุ่นอีกต่อไป”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 จะเติบโตไม่มากนัก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์มูลค่าตลาดไว้ที่ประมาณ 646,000 ล้านบาท หรือเติบโตเพียง 2.8% แต่บริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวม (Top-Line) ในปีนี้ไว้ที่ 30% โดยมองว่าด้วยกลยุทธ์การขยายพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายและการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้บริษัทสามารถรักษาการเติบโตของกำไร (Bottom-Line) ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้