แพลนบีเร่งโตทุกแพลตฟอร์ม ซื้อธุรกิจรอบทิศ-ผุดจอยักษ์ 4 พันตร.ม.

สื่อโฆษณานอกบ้านโตไม่หยุด แพลนบีฯทุ่มไม่อั้นขยายการลงทุนรอบทิศ ทั้งเพิ่มพื้นที่โฆษณาทั่วประเทศ ล่าสุดผุดแอลอีดีจอยักษ์ขนาด 4,000 ตร.ม.หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ หวังปั้นเป็นแลนด์มาร์กใหม่กลางกรุง ยอดจองเต็มยาวถึงสิ้นปีก่อน

เปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือน ส.ค.นี้ พร้อมเตรียมงบฯสำหรับเข้าซื้อกิจการใหม่เพียบ โดยเฉพาะธุรกิจคอนเทนต์ หวังต่อยอดสร้างการเติบโตในทุก ๆ แพลตฟอร์ม คาดสิ้นปี 2563 รายได้แตะ 5,000 ล้านบาทตามแผน

สร้างแรงกระเพื่อมให้แก่ธุรกิจ

สื่อโฆษณานอกบ้านเป็นระลอก สำหรับ “แพลนบี มีเดีย” ที่เดินหน้าขยายการลงทุนแบบไม่หยุด หวังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้แก่ธุรกิจ ส่วนหนึ่งมาจากภาพรวมของสื่อนอกบ้านที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สื่อนี้สามารถสร้างการเติบโตได้ท่ามกลางสื่ออื่น ๆ ที่มีแนวโน้มการเติบโตลดลง

โดยปีนี้ สมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย คาดว่าสื่อนอกบ้านจะยังเติบโตต่อเนื่องหรือจะมีมูลค่ารวมประมาณ 20,152 ล้านบาท ประกอบด้วย สื่อในโรงภาพยนตร์ 6,937 ล้าน โต 6% ป้ายบิลบอร์ด 6,391 ล้าน โต 5% สื่อ ณ จุดขาย 946 ล้าน โต 1% สื่อเคลื่อนที่ 5,878 ล้านบาท โต 10%

ผุดจอยักษ์สร้างแลนด์มาร์ก

นายวัชรพงศ์ ลีโทชวลิศ หัวหน้าแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสื่อโฆษณานอกบ้าน กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้านยังมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง ดังนั้นจึงจะลงทุนในหลาย ๆ ส่วน โดยปีนี้จะเดินหน้าด้วย 2 กลยุทธ์หลัก คือ สร้างการเติบโตภายในและเติบโตภายนอก โดยการเติบโตภายในมาจากการขยายพื้นที่สื่อโฆษณาในหลากหลายรูปแบบ เช่น สื่อโฆษณาภายในสนามบิน ป้ายดิจิทัลบิลบอร์ดในต่างจังหวัด เป็นต้น ด้วยงบฯลงทุน 600-700 ล้านบาท

รวมถึงการเปลี่ยนป้ายบิลบอร์ดหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เป็นจอดิจิทัลขนาดใหญ่บนพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร ภายใต้ชื่อ “Central World Connect” ด้วยงบฯลงทุน 400 ล้านบาท โดยมีอายุสัญญา 9 ปี และตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้จากจอนี้ประมาณ 240 ล้านบาทต่อปี ซึ่งบริษัทก็ได้เริ่มขายโฆษณาของจอดังกล่าวไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีมีจองโฆษณาเต็มยาวถึงสิ้นปี

“จอแอลอีดีขนาดใหญ่นี้ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ ที่มาพร้อมการแสดงโชว์ที่ตั้งใจจะทำให้กรุงเทพฯเป็นเหมือนไทม์สแควร์ (time square) ของภูมิภาคในฐานะที่เป็นเมืองท่องเที่ยว โดยจะมีโชว์ทุกวัน เวลา 19.00 น. เพื่อดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวและสินค้า โดยจะเปิดตัวในเดือนสิงหาคมนี้”

บีเอ็นเค 48 จิ๊กซอว์ใหม่

ส่วนกลยุทธ์การเติบโตจากภายนอกนั้น ด้วยการเข้าลงทุน หรือซื้อกิจการ ด้วยงบฯลงทุน 500-600 ล้านบาท ซึ่งเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเพิ่งเข้าซื้อหุ้นในบริษัท บีเอ็นเค 48 ออฟฟิศ จำกัด ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 35% หรือคิดเป็นมูลค่า 182 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันแพลนบีฯแบ่งโครงสร้างการบริหารสื่อเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย สื่อเคลื่อนที่ ได้แก่ สื่อโฆษณาบนรถประจำทาง 2,500 คัน รถไฟฟ้าเอ็มอาร์ที 18 สถานี ตามด้วยป้ายบิลบอร์ด มากกว่า 1,500 ป้ายทั่วประเทศ ดิจิทัลแอลอีดี มากกว่า 350 จอทั่วประเทศ จอแอลอีดีในศูนย์การค้ากว่า 273 จอ บริหารสื่อใน 31 สนามบิน สื่อออนไลน์ด้วยการติดตั้งไวไฟบนรถประจำทาง 550 คัน และสิ้นปีนี้จะติดให้ครบ 1,500 คัน สุดท้ายการบริหารคอนเทนต์ เช่น การบริหารสิทธิ์ทางการค้าให้แก่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นต้น

ทั้งนี้ การเข้าลงทุนในบริษัท บีเอ็นเค 48 ออฟฟิศ จำกัด นั้น ในเฟสแรกนี้บริษัทจะต่อยอดจากประสบการณ์ด้านธุรกิจสื่อนอกบ้าน ด้วยการใช้ศักยภาพด้านสื่อโฆษณานอกบ้านของแพลนบีฯเข้าไปสนับสนุนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โปรโมตเพลงใหม่ให้แก่บีเอ็นเค 48 สร้างการรับรู้ในวงกว้าง เพื่อปูทางสู่การขายสปอนเซอร์ชิปให้แก่บีเอ็นเค 48 ควบคู่กับการทำสปอร์ตมาร์เก็ตให้แก่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยด้วย

ขณะที่เฟสต่อไป คือ การขยายฐานแฟนของบีเอ็นเค 48 สู่ตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน นั่นหมายถึงโอกาสของสินค้าไทยที่จะออกไปเติบโตในตลาดต่างประเทศผ่านบีเอ็นเค 48 ด้วย

“การเข้าลงทุนในบีเอ็นเค 48 ถือว่าคุ้มค่า เพราะเป็นโมเดลธุรกิจใหม่และสอดรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ ซึ่งสามารถต่อยอดด้วยการสร้างคอนเทนต์ใหม่ ไปสู่แพลตฟอร์มอื่น ๆ ซึ่งปัจจุบันบีเอ็นเค 48 เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า 7 แบรนด์ใน 7 กลุ่มสินค้า คาดว่าอนาคตจะขยายเพิ่มเป็น 12 กลุ่มสินค้า เป็นต้น โดยคาดว่าไตรมาส 3 ปีนี้จะมีรายได้ตรงนี้เฉลี่ยปีละ 250-300 ล้านบาท”

เจาะทุกแพลตฟอร์ม

ทิศทางการเติบโตด้วยการเข้าลงทุนหรือซื้อกิจการนั้น มีเป้าหมายในการต่อยอดสู่คอนเทนต์ประเภทอื่น ๆ โดยอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้บริษัทมีแผนจะร่วมกับพันธมิตรด้านคอนเทนต์มากขึ้นในการสร้างคอนเทนต์ เพื่อต่อยอดธุรกิจสู่แพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยไม่จำกัดตัวเองอยู่เฉพาะสื่อโฆษณานอกบ้านอีกแล้ว แต่จะสร้างคอนเทนต์ขึ้นและเข้าไปอยู่ในทุกแพลตฟอร์ม เช่น ทีวี สื่อออนไลน์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มรายได้นอกเหนือจากการขายโฆษณาสื่อนอกบ้าน

“การเข้าลงทุนในธุรกิจคอนเทนต์จะทำให้บริษัทเป็นมากกว่าเจ้าของสื่อที่ทำหน้าที่ซื้อ-ขายโฆษณา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่าในการเจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของลูกค้า (สินค้า) ได้อย่างตรงจุด และสร้างกิจกรรมดึงผู้บริโภคให้มีส่วนร่วมกับแบรนด์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรายได้ให้แก่บริษัท”

อย่างไรก็ตาม ด้วยแนวทางที่วางไว้ บริษัทตั้งเป้าหมายว่าปีนี้จะมีรายได้ 3,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 3,016 ล้านบาท และคาดว่าปี 2563 จะมีรายได้เพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้