คลื่นความร้อนปลุกธุรกิจ ญี่ปุ่น…ปรับแผนรับดีมานด์โต

คอลัมน์ Market Move

คลื่นความร้อนที่ปกคลุมญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. ทำให้อุณหภูมิหลายพื้นที่สูงทำลายสถิติที่ 41.1 องศาเซลเซียส ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยราย ขณะเดียวกันดีมานด์สินค้าคลายร้อนต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแฟชั่นอย่าง แว่นกันแดด เสื้อยืด และที่ขาดไม่ได้ คือ ไอศกรีม ซึ่งปีนี้ขายดีเกินคาด จนผู้ประกอบการต้องประกาศหยุดจำหน่ายเพราะผลิตไม่ทันในขณะที่อีกหลายธุรกิจต้องขึ้นราคาสินค้า รองรับราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้น

สำนักข่าวนิกเคอิ รายงานว่า ผู้ผลิตไอศกรีมในญี่ปุ่นหลายราย อาทิ โมรินากะ ฟุตาบะ และโคคา-โคลา ต่างทยอยประกาศหยุดจำหน่ายสินค้าบางรายการ เนื่องจากดีมานด์สูงกว่าที่คาดไว้มากและต้องรออีกประมาณ 1 เดือน

โดย “โมรินากะ” ประกาศหยุดส่งสินค้าไอศกรีมแบรนด์ไอซ์บ็อก ให้กับร้านค้าต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะต้องรอถึงกลางเดือน ก.ย. จึงจะมีสินค้าพร้อมขายอีกครั้ง ทั้งนี้ เป็นผลจากช่วงฤดูฝนที่สั้นและสภาพอากาศร้อนผิดปกติ ทำให้ดีมานด์สินค้าสูงเกินกว่าที่คาดไว้มาก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ตั้งแต่เปิดตัวแบรนด์ไอซ์บ็อกมา

เช่นเดียวกับ “โคคา-โคลา บอทเลอร์ เจแปน” ได้หยุดขายเครื่องดื่มเกลือแร่อควอเรียสแบบแช่แข็งไปตั้งแต่ปลายเดือน ก.ค. ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้

ขณะเดียวกัน “ฟุตาบะ ฟู้ด” หนึ่งในผู้ผลิตไอศกรีมรายใหญ่อีกราย เร่งปรับแผนขณะที่ยังมีวัตถุดิบเหลืออยู่ โดยทุ่มวัตถุดิบที่มีให้กับไลน์สินค้ายอดนิยมเพียงรสชาติเดียวแทน เพื่อให้สามารถมีสินค้าขายต่อไปได้นานที่สุด

ด้านร้านอาหารเริ่มได้รับผลกระทบเช่นกัน บางแห่ง เช่น เชนร้านบะหมี่ริงเกอร์ฮัท ต้องขึ้นราคาอาหารบางเมนู เพื่อชดเชยราคาผักที่ปรับขึ้นจากเหตุอุทกภัยในภาคตะวันตก และคาดว่าจะยิ่งสูงขึ้น หากอากาศร้อนต่อเนื่องเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม คลื่นความร้อนนี้ถือเป็นปัจจัยบวกของบางธุรกิจ สะท้อนจากยอดขายสินค้าแฟชั่นของยักษ์ค้าปลีก “อิเซตัน มิตสึโคชิ” ผู้บริหารเชนห้างสรรพสินค้าอิเซตัน เปิดเผยว่า ยอดขายแว่นกันแดดและเสื้อยืดของเด็กสูงกว่าปีที่แล้ว เช่นเดียวกับ ยูนิโคล่ที่ระบุว่า สภาพอากาศช่วยกระตุ้นยอดขายคอลเล็กชั่นซัมเมอร์ได้ดีมาก สอดคล้องกับข้อมูลบริษัทวิจัยไดอิจิซึ่งพบว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 อาศา ในช่วง ก.ค.-ก.ย. ทำให้ยอดใช้จ่ายของครัวเรือนจะขยับขึ้น 3.2 แสนล้านเยน หรือประมาณ 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ยังต้องรอดูกันว่าแผนปรับตัวของแต่ละรายจะให้ผลตามที่คาดไว้หรือไม่ และจะมีธุรกิจใดที่ได้รับอานิสงส์หรือผลกระทบจากคลื่นความร้อนนี้อีก