จิรัฐ บวรวัฒนะ “ยิ่งเรากลัว ยิ่งต้องกล้าทำสิ่งใหม่”

เมื่อธุรกิจสื่อถูกดิสรัปชั่น (disruption) อยู่ตลอดเวลา ผู้อยู่ในธุรกิจนี้ก็ต้องปรับตัว ปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ พร้อม ๆ กับมองหาธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มโอกาส สร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจอีกแรง

“จิรัฐ บวรวัฒนะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรส อาร์ทิสท์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีเอ็นเค โฟร์ตี้เอท ออฟฟิศ จำกัด กล่าวในงานสัมมนาที่จัดขึ้นโดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ภายใต้ชื่อ “พลิกเกมธุรกิจ พลิกอนาคต The Reinvention” ว่า ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในธุรกิจสื่อมา 15 ปี พบว่าธุรกิจนี้ถูกดิสรัปชั่นอยู่ตลอด นั่นหมายถึงเราอยู่ในอุตสาหกรรมที่น่ากลัวตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้ว่าจะถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อไร และไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ธุรกิจของเราหายไปเมื่อไร ทำให้เราต้องทำอะไรมากกว่าคนอื่น ๆ

“15 ปีที่ผ่านมา ผมอยู่กับความกลัวมาตลอด เมื่อเกิดความกลัวก็ต้องกล้าทำอะไรใหม่ ๆ เรียกว่าต้องทำอะไรเยอะแยะ เริ่มตั้งแต่การทำช่องทีวีดาวเทียม ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ทำทีวีมาก่อน เพราะกลัวว่าธุรกิจวิดีโอจะหายไป และในที่สุดธุรกิจวิดีโอก็หายไปจริง ๆ จนมาถึงธุรกิจเพลง คือ บีเอ็นเค48 ก็ยอมรับว่าไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แต่ก็ต้องทำ ต้องกล้าที่จะคิด กล้าที่ทำ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมรู้อย่างเดียว คือ กลัวจนต้องกล้า”

เมื่ออยู่กับความกลัว ทำให้ต้องกล้า กล้าที่จะทำอะไรใหม่ ๆ จนถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ คือ การตัดสินใจลงทุนด้วยเงินก้อนโตอีกครั้งในธุรกิจเพลง

“บีเอ็นเค48” ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ที่ญี่ปุ่นก็ไม่ได้การันตีว่าโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นจะประสบความสำเร็จในตลาดไทย

“เมื่อลงทุนไปแล้วก็ต้องขอไบเบิลจากเจ้าของลิขสิทธิ์ว่า ทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ แต่คำตอบที่ได้ คือ ไม่มี และให้เพียงกติกามาเท่านั้น ดังนั้น จึงต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ระบบงานหลังบ้าน หน้าบ้าน เรียกว่าต้องเก็บทุกอย่างมาปรับใช้ให้เข้ากับตลาดไทย”

สำหรับแนวทางการตลาด รูปแบบการนำเสนอของบีเอ็นเค48 ก็แตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ด้วย การสร้างเรื่องราวขึ้น ใช้วิธีการเล่าเรื่องที่ละเอียดซับซ้อนมากขึ้น โดยเล่าถึงเรื่องราวความฝันของกลุ่มเด็กผู้หญิงที่มีความพยายาม ความฝันที่อยากจะเดินไปให้ถึงเป้าหมาย หากเปรียบเทียบการนำเสนอ รุ่นที่ 1 ก็เหมือนรุ่นก่อตั้ง ส่วนรุ่นที่ 2 คือ The challenges รุ่นที่ต้องท้าทาย และรุ่นที่ 3 ก็จะมีเรื่องที่ต่างออกไป เพื่อให้แต่ละรุ่นมีเรื่องราวเดินต่อและเข้มข้นมากขึ้น พร้อม ๆ กับการสร้างเอ็นเกจเมนต์ระหว่างแฟนคลับกับสมาชิกวงบีเอ็นเค48 ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียจนจุดกระแสบีเอ็นเค48 ให้ติดตลาดเพลงไทย มีฐานแฟนคลับจำนวนมากที่พร้อมเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ

ขณะที่ทิศทางธุรกิจจากนี้ไป “จิรัฐ” บอกว่า บริษัทวางตัวเป็นทาเลนต์แมเนจเมนต์เอเยนซี่ (talent management agency) ที่มีเพลงเป็นตัวหลักในการเล่าเรื่อง สร้างความผูกพันระหว่างเพื่อน ๆ ในทีม ซึ่งทั้งหมดจะทำให้การเล่าเรื่องของบีเอ็นเค48 มีมิติและถูกนำเสนอผ่านช่องทางอื่นในหลากหลายช่องทางเพื่อสร้างรายได้ เช่น รายการทีวี ละคร ภาพยนตร์ เกม ดิจิทัลคอนเทนต์ การออกอีเวนต์ เป็นต้น

เท่ากับว่าโมเดลธุรกิจ “บีเอ็นเค48” จะต้องสามารถต่อยอดจากการสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ ของเหล่าเกิร์ลกรุ๊ปและกระจายเข้าไปสู่ทุก ๆ แพลตฟอร์ม พร้อม ๆ กับสร้างรายได้และโอกาสใหม่ ๆ แบบไม่จำกัด

“จิรัฐ” เล่าต่อว่า บีเอ็นเค48 เริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ซึ่งตอนที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ยังไม่มีพันธมิตร ก็ทำอะไรทุกอย่างเอง ทำมิวสิกวิดีโอเอง โรดโชว์เอง เรียกว่าทำทุกอย่าง จะงานเล็ก งานใหญ่ บีเอ็นเค48 ไปหมด ถึงแม้วันนี้หลาย ๆ คนจะบอกว่า บีเอ็นเค48 ประสบความสำเร็จแล้ว แต่สำหรับผม ผมมองว่าเรายังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะถ้าเราบอกตัวเองว่า เราประสบความสำเร็จ เราก็จะแพ้ทันที

ขณะเดียวกัน ก็ต้องสร้างเป้าหมายให้มันยากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เป้าหมายของผมไปไกลขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าอีก 5 ปีจากนี้ จะพาน้อง ๆ ไปเล่นคอนเสิร์ตที่มีคนดูหลักแสนในประเทศจีนให้ได้ ส่วนการเล่นคอนเสิร์ตที่สนามราชมังคลาฯก็ยังเป็นแผนที่จะต้องเดินไปให้ถึง

“เดิมวางเป้าหมายว่าจะพาวงเด็กผู้หญิงขึ้นคอนเสิร์ตที่สนามราชมังคลาฯให้ได้ภาย 3 ปีนับจากวันที่เปิดตัว แต่ตอนนี้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น ซึ่งวันนี้เราก็สามารถเปิดคอนเสิร์ตใหญ่ได้ ก็คงมีแฟนมาดูเรา แต่ความสามารถของน้อง ๆ ในการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ การตรึงคนดูหน้าสุด ขวาสุด หลังสุด ให้อยู่หมัดยังไม่ถึง เพราะการขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ไม่ใช่แค่ดึงให้คนมาซื้อบัตรเท่านั้น แต่ต้องเป็นมืออาชีพที่ตรึงคนดูให้ได้ตลอดการแสดง ซึ่งตอนนี้ต้องยอมรับว่าเรายังไม่ถึงวันนั้น”

เมื่อโอกาสขยับมาใกล้ ก็ต้องขยับออกไป ต้องสร้างความท้าทายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสิ่งที่น่ากลัว คือ กลัวคุณจะไม่กลัว เพราะถ้าไม่กลัว ก็จะอยู่นิ่ง ๆ ไม่เดินหน้าต่อ และรอวันตายแต่วันนี้ถ้าอยู่ด้วยความกลัว คุณจะรู้ว่าคุณจะต้องทำอะไร


เพราะเมื่อกลัวก็ต้องมองหาโอกาส หาแสงสว่างเพื่อเดินหน้าต่อ