คอลัมน์ Market-think
โดย สรกล อดุลยานนท์
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- ออมสิน เปิดให้กู้สินเชื่อรีไฟแนนซ์ ลดดอกเบี้ย 4 กลุ่ม เช็กเลย !
- เปิดไทม์ไลน์ลูกค้าซิตี้แบงก์ต้องรู้! ก่อนโอนย้ายบัญชีมาเป็น “ยูโอบี” 21 เม.ย.นี้
ถ้าใครทำข่าวธุรกิจมานาน เห็นข่าวเรื่องแบงก์ชาติออกนโยบายกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็จะไม่แปลกใจ
เป็นเรื่องปกติธรรมดาเวลาที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คึกคัก
แบงก์ชาติจะกังวลเป็นพิเศษ
เพราะเขากลัว “ฟองสบู่” แตก
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ใช้เงินกู้จำนวนมาก ถ้ามีปัญหาขึ้นมาจะส่งผลต่อสถาบันการเงิน
คนกำกับดูแลก็ต้องออกมาตรการเข้มงวดขึ้นเป็นธรรมดา
ครั้งนี้เขาเริ่มต้นจัดการกับ “บ้านหลังที่ 2” ก่อน
ด้วยการเพิ่มยอดเงินดาวน์บ้านหรือคอนโดมิเนียมขั้นต่ำจาก 10% เป็น 20%
เพราะตัวเลขยอดคนกู้ซื้อบ้านหลังที่สองเริ่มขยับตัวสูงขึ้น
ผมเชื่อว่าแบงก์ชาติคงคิดว่าคนกลุ่มนี้คือคนที่เก็งกำไร
ไม่ใช่คนที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง
เงินดาวน์น้อย หมายถึง ใช้เงินสดน้อย
ใช้เงินสดแค่ 10% แต่กู้ได้ถึง 90%
และสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีเสน่ห์มาก คือ ดอกเบี้ยต่ำ
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น
ถ้าให้เพิ่มเงินดาวน์จาก 10 เป็น 20% กลุ่มนี้ต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
เพราะต้องควักเงินสดเยอะขึ้น
เริ่มไม่คุ้มกับความเสี่ยงในการเก็งกำไร
นั่นคือ มุมมองของแบงก์ชาติ
ซึ่งก็ไม่ “ผิด” แต่ไม่ใช่ว่าจะ “ถูก”
เพราะนักเก็งกำไรนั้นส่วนใหญ่เขาไม่รอจนโอนบ้านแล้วค่อยขาย
แต่เขาขาย “ใบจอง” ดีกว่า
และรายใหญ่มักมีเส้นสายกับสถาบันการเงิน
ถ้าจะกู้เขาสามารถทำตัวเลขให้กู้ได้ 100%
ซื้อแล้วมีเงินเหลือ
เรื่องนี้ในแวดวงเขารู้กันดี
แต่ที่น่าสนใจก็คือในโลกแห่งความเป็นจริงในวันนี้ ยังมีคนที่ซื้อคอนโดฯหรือบ้านหลังที่ 2 เพราะต้องการยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น
โดยเฉพาะคนโสดที่แต่งงาน
หรือคนแต่งงานที่มีลูก
เขาต้องการขยับจากคอนโดฯ ราคาถูก เป็นคอนโดฯที่มีขนาดพื้นที่มากขึ้น
หรือขยับเป็นทาวน์เฮาส์หรือบ้านเดี่ยว
ช่วงเปลี่ยนผ่าน คือ บ้านหลังแรกยังผ่อนไม่หมด แต่ต้องการขยับขยาย
เขาก็จะจ่ายเงินดาวน์บ้านหลังที่ 2 ไปเรื่อย ๆ
พอบ้านเสร็จจึงจะย้ายไปอยู่
แล้วค่อยขายบ้านหลังแรกที่ยังผ่อนอยู่
เจอมาตรการนี้ของแบงก์ชาติเข้าไปก็เหนื่อยสิครับ
เพราะต้องควักเงินสดเพื่อดาวน์บ้านหลังที่ 2 เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
จาก 10 เป็น 20
หนักนะครับ
คำถามง่าย ๆ ก็คือ เวลาขยับตัวเลข “เงินดาวน์”
ทำไมต้องจาก 10 เป็น 20 เลย
15 ก็มีนะครับ
14 ก็ได้
16 ก็ยังดี
เพราะแค่เพิ่มเงินดาวน์ 15% หรือเพิ่มขึ้น 50% จากเดิม นักเก็งกำไรก็สะดุ้งแล้ว
“เงินดาวน์” สำหรับ “นักเก็งกำไร” คือ “ต้นทุน” ทางธุรกิจ
แต่ “เงินดาวน์” สำหรับคนที่ต้องการซื้อบ้านจริง
มันคือ “ค่าใช้จ่าย” ในชีวิตจริง
ถ้า “เงินดาวน์” เพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 20%
นักเก็งกำไรหยุด
แต่คนซื้อบ้านหนัก
บางคนอาจจะหยุดไปเลย
แต่ถ้า “เงินดาวน์” เพิ่มเป็น 15%
นักเก็งกำไรจะหยุด
เพราะต้องจ่ายเงินสดเพิ่มจากเดิม 50%
แต่ผมเชื่อว่าคนซื้อบ้านยังสู้
“พลัง” ความอยากได้บ้านมัน
ต่างกันครับ