ถึงเวลา… อินเด็กซ์ฯ ให้ผลกำไร ขาดทุนกำหนดการเติบโตธุรกิจ

ถือเป็นบริษัทที่มีเอกลักษณ์และสามารถสร้างความแข็งแกร่งบนตลาดอีเวนต์ไทยได้ยาวนานถึง 28 ปี พร้อม ๆ กับการเติมประสบการณ์ใหม่ ๆ บนเวทีอีเวนต์ระดับโลกอย่าง เวิลด์ เอ็กซ์โป และอินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กซ์โป อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแตกธุรกิจออกไปสร้างการเติบโตในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา เวียดนาม กัมพูชา และลาว ทั้งหมดกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เส้นทางรบบนสมรภูมิอีเวนต์ของ “อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ” แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ “เกรียงไกร กาญจนะโภคิน” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ถึงก้าวสำคัญของการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะเกิดขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และทิศทางการดำเนินธุรกิจต่อจากนี้ไป

Q : ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น

คาดว่าตลาดอีเวนต์ปีนี้จะโต 10% จากปีก่อน ๆ หรือมีมูลค่า 13,200 ล้านบาท และถือเป็นปีทองของอีเวนต์ก็ว่าได้ เพราะมีปัจจัยบวกทั้งเศรษฐกิจดีขึ้น การเมืองนิ่ง เชื่อว่าผู้เล่นหลาย ๆ รายก็คงได้รับอานิสงส์ด้วย แต่ถ้ารายไหนไม่ดีก็อาจจะต้องกลับมาดูว่า ได้ปรับตัวแล้วหรือยัง เพราะตลาดนี้ก็ได้รับผลกระทบมาต่อเนื่อง ส่วนปีนี้อินเด็กซ์ฯคาดว่าจะปิดรายได้ที่ 1,650 ล้านบาทตามแผน

Q :อีเวนต์เป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อปัจจัยลบ การนำบริษัทเข้าตลาดแสดงว่าความเสี่ยงเหล่านี้หายไป

ไม่ ธุรกิจอีเวนต์ยังมีความเสี่ยงอยู่ และความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เรียกว่าสถานการณ์ของไทยไม่เอื้อให้ธุรกิจอีเวนต์เลยด้วยซ้ำ เพราะมีวิกฤตเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนส่งผลกระทบต่อธุรกิจนี้ทั้งนั้น แต่ก็คงไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่มีความเสี่ยง ทำให้เราต้องขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะเมียนมา กัมพูชา เวียดนาม และลาว โดยออกไปจัดเทรดแฟร์ เจาะกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้มีงานทุก ๆ ปี เรียกว่าการกระจายความเสี่ยง เพื่อไม่ให้ผูกติดกับรายได้ในประเทศเท่านั้น

Q : ทำไมตัดสินใจรื้อแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้ง หลังพับแผนมายาวถึง 10 ปี

การรื้อแผนครั้งนี้ถือเป็นสเต็ปของการถ่ายโอนต่อให้เจเนอเรชั่นต่อไปได้เข้ามาบริหาร จากที่ผ่านมาอินเด็กซ์ฯผูกติดและถูกขับเคลื่อนด้วยตัวผู้ก่อตั้งเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้มีความพร้อมแล้ว เพราะมีกลยุทธ์ใหม่ ๆ มีวิธีการใหม่ ๆ พร้อมกับการปรับโครงสร้าง วางระบบในองค์กรมาตั้งแต่ 6 ปีก่อน โดยเชื่อมั่นในระบบที่วางไว้ว่าแข็งแรง และพร้อมที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

เมื่อตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะก็ตั้งเป้าหมายว่าจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯให้ได้ในปี 2563 หรืออย่างช้าปี 2564 หลังจากต้องพับแผนมากว่า 10 ปี ซึ่งวันนี้ อินเด็กซ์ฯมั่นใจว่า พร้อมแล้วที่จะให้ผลกำไร ขาดทุนมากำหนดการเต้นของหัวใจและการเติบโตของธุรกิจ

Q : ตอนนี้อินเด็กซ์ฯมีความแข็งแรงขึ้น แล้ววางกลยุทธ์สร้างการเติบโตในอนาคตไว้อย่างไร

ที่ผ่านมา อินเด็กซ์ฯทำอะไรมาหลายอย่าง เรียกว่าลองผิด ลองถูกมาพอสมควร จนเรียนรู้ว่าอะไร คือ สิ่งที่ดีที่สุด และพบว่าต้องสร้างอีเวนต์เป็นของตัวเอง ทำให้เราเพิ่มน้ำหนักกับกลุ่มโอว์นโปรเจ็กต์ (own project) หรืออีเวนต์ที่สร้างเองมากขึ้น และผลผลิตใหม่ที่ได้ลงแรงเพาะปลูกก็เติบโตเร็ว เนื่องจากได้นำประสบการณ์การทำงานกว่า 28 ปี มาปรับใช้กับอีเวนต์ใหม่ ๆ นี้ ตั้งใจว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า โอว์นโปรเจ็กต์จะโตขึ้น และกินสัดส่วน 20-25% ของรายได้รวม ขณะที่อนาคตอาจจะขยายเป็น 50% ซึ่งการมีโอว์นโปรเจ็กต์ทำให้บริษัทมีรายได้ที่แน่นอนในทุก ๆ ปี เพราะสามารถวางแผนการจัดอีเวนต์ล่วงหน้าเองได้

ขณะเดียวกันก็ยังเดินหน้าธุรกิจรับจ้างผลิตที่เป็นธุรกิจเดิมต่อ เพราะยังเป็นรายได้ใหญ่ คิดเป็น 70% ของรายได้รวม และเป็นธุรกิจที่แข็งแรง

“ด้วยแนวทางที่วางไว้ มั่นใจว่าบริษัทจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างยั่งยืน เพราะสามารถประเมินรายได้ล่วงหน้า (backlog) ได้ชัดเจนกว่าอดีต เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากโอว์นโปรเจ็กต์ที่มั่นคงขึ้น และทำให้รายได้ไม่สะวิงมาก โดยไม่ต้องรองานจ้างเหมือนที่ผ่านมา”

Q : ให้น้ำหนักกับกลุ่มโอว์นโปรเจ็กต์ แสดงว่าทุกอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

ปีนี้ทดลองจัดไลฟ์สไตล์อีเวนต์ที่อยู่กลุ่มโอว์นโปรเจ็กต์ขึ้น ภายใต้ชื่อ “กิโลรัน” ไปแล้ว 2 อีเวนต์ ได้แก่ กรุงเทพฯ และบาหลี อินโดนีเซีย ส่วนโอซากา ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอีเวนต์ที่ 3 ถูกยกเลิกไป เนื่องจากอากาศไม่อำนวย แต่แค่เริ่มต้นปีแรกก็มีกระแสตอบรับที่ดี จนได้รับการติดต่อจากหลายประเทศทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน รัฐอาบูดาบี และถือเป็นไลฟ์สไตล์อีเวนต์ที่ขายไปต่างประเทศได้ ซึ่งอนาคตอาจจะมี “กิโลรัน ลอนดอน อังกฤษ” ก็ได้

สำหรับปี 2562 คาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 7-8 อีเวนต์ หรือมากที่สุดอาจจะจัดถึง 12 อีเวนต์ อยู่ระหว่างวางแผน แต่เตรียมจะพัฒนาโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ที่คล้ายกับ “กิโลรัน” อีก 2-3 งาน ซึ่งต้องทำให้อีเวนต์เหล่านั้นเกิดขึ้นให้ได้ เพราะการมีโอว์นโปรเจ็กต์จะทำให้บริษัทมีรายได้ที่แน่นอน

Q : จุดขายโอว์นโปรเจ็กต์ในสไตล์อินเด็กซ์ฯ

หลักการทำงานของอินเด็กซ์ฯชัดเจน คือ from inside to Idea หรือทุกอย่างต้องมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคแล้วแปลงทุกอย่างเป็นไอเดีย อย่างกิโลรัน เป็นการดึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคนี้ออกมา นั่นคือ คนยุคนี้ชอบกิน ดื่ม เที่ยว ซึ่งเราจับตรงนี้มาแปลงเป็นอีเวนต์

ขณะที่การหาไลฟ์สไตล์ของคนก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ไม่ต้องทำโฟกัสกรุ๊ปเหมือนอดีต แต่วันนี้แค่เปิดเฟซบุ๊ก ก็รู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร ซึ่งหลัก ๆ ก็มีอยู่ไม่กี่เรื่อง เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหาร ถ่ายรูป เป็นต้น โดยพฤติกรรมก็วน ๆ อยู่ เพียงแต่ต้องจับสิ่งที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์และปรับใช้ให้ได้

ด้วยแนวทางนี้ทำให้เกิดกิโลรัน และทำให้อีเวนต์นี้ต่างจากงานวิ่งมาราธอนทั่ว ๆ ไปที่ใช้หลักกิโลมาเป็นตัววัด แต่จุดขายกิโลรันแปลกใหม่ตรงที่อาหารต้องอร่อย และได้วิ่งผ่านสถานที่ที่สำคัญของแต่ละประเทศ ดังนั้น กลุ่มเป้าหมายของกิโลรันจึงค่อนข้างหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างที่ทำต้องย้อนกลับมาที่ตัวผู้บริโภค เราจึงเชื่อว่าอีเวนต์ไม่มีวันตาย เพราะอีเวนต์ คือ คอนเทนต์ ที่ดึงคนออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน

ยิ่งวันนี้คนอยู่คอนโดฯมากขึ้น ยิ่งทำให้อีเวนต์เหล่านี้ได้รับความนิยม เพียงแต่ว่าอีเวนต์นั้น ๆ ตอบโจทย์คนได้หรือไม่ ซึ่งหน้าที่ของอีเวนต์ไม่เพียงต้องดึงคนออกมานอกบ้าน แต่ต้องช่วยสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ต้องทำให้ผู้บริโภคมีสถานะทางสังคมดูดีขึ้น ด้วยเหตุผลเหล่านี้ก็ทำให้คนอยากมาอีเวนต์ เพราะอีเวนต์คือ คอนเทนต์ ที่ทำให้คนได้เอาไปโพสต์ต่อ แชร์ต่อบนโลกออนไลน์

Q : ความคืบหน้าของการเข้าร่วมประมูลบริหารจัดการศาลาไทยในเวิลด์ เอ็กซ์โป 2020

ขณะนี้อยู่ระหว่างรอประกาศผล โดยปีนี้รัฐบาลไทยให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ดูแลโครงการนี้ ซึ่ง อินเด็กซ์ฯหวังใช้โปรเจ็กต์นี้เป็นบทพิสูจน์ฝีมือบนเวทีอีเวนต์โลก พร้อมกับการสร้างแบรนดิ้งประเทศไทยไปด้วย

หากย้อนกลับไป อินเด็กซ์ฯถือว่ามีประสบการณ์การทำงานในเวิลด์ เอ็กซ์โป และอินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กซ์โป มาแล้ว 5 ครั้ง เช่น โปรตุเกส เยอรมนี ก่อนขยับเข้ามาดูแลงานบริหารจัดการศาลาไทยเต็มตัวที่เซี่ยงไฮ้ จีน และทุกครั้งที่ทำงานนี้ก็พบว่า ความท้าทายและโจทย์เปลี่ยนตลอดต้องทำการบ้านหนัก เพื่อดึงคนเข้าศาลาไทยให้ได้

โดยผลงานจากเวิลด์ เอ็กซ์โป ที่ผ่านมาก็ติด 1 ใน 7 ติด 1 ใน 3 ของพาวิเลียนยอดนิยม และเชื่อว่าด้วยประสบการณ์ที่มีน่าจะทำให้อินเด็กซ์ฯมีโอกาสได้ไปโชว์ผลงานบนเวทีโลกอีกครั้ง