คอลัมน์ จับกระแสตลาด
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
การแข่งขันของตลาดเครื่องสำอางที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งแบรนด์หน้าใหม่ที่เดินหน้าเข้ามาไม่หยุด แถมแบรนด์ที่ทำตลาดอยู่เดิมก็เพิ่มความแรงของการออกสินค้าใหม่ และโปรโมชั่นที่ยั่วใจ เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด และการเติบโตของยอดขายเอาไว้
โดยเฉพาะการโฟกัสการทำตลาดมายังกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ หรือกลุ่มคนมิลเลนเนียล (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2523-2543) มากขึ้น เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีรายได้เป็นของตัวเอง และยังมีแนวโน้มที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งหมายถึงกำลังซื้อที่มีศักยภาพ
“ชิเซโด้” เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีการปรับตัวรับกับเกมการตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จะสังเกตได้ว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์มีความทันสมัยมากขึ้น ทั้งไลน์อัพสินค้าที่ปรับให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า แพ็กเกจจิ้ง ตลอดจนการดึงดาราวัยรุ่นคนไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ จากที่ไม่เคยมีคนไทยเป็นพรีเซ็นเตอร์มาก่อน
“โยชิอากิ โอคาเบะ” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด แบรนด์ชิเซโด้ สำนักงานใหญ่ บริษัท ชิเซโด้ ประเทศญี่ปุ่น ชี้ว่า ชิเซโด้ทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับการเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มมิลเลนเนียลมากขึ้นตั้งแต่ปี 2559 ที่ผ่านมา ผ่านการลงทุนในด้านของโปรดักต์ การปรับสูตร รวมถึงแพ็กเกจจิ้ง และการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ สู่ตลาด โดยเฉพาะกลุ่มเมกอัพ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของชิเซโด้ประเทศไทยนั้น ได้ปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ เริ่มตั้งแต่การดึงดาราไทย “แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ครั้งแรก เพื่อสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ ตามด้วยการปรับโฉมของกลุ่มเมกอัพใหม่ทั้งหมด เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ในลุกที่ทันสมัยและมินิมอลมากขึ้น และเติมไลน์อัพสินค้าให้หลากหลายกว่าเดิม
ล่าสุด การออกคอลเล็กชั่นพิเศษ “SHISEIDO X SIRIVANNAVARI Princess Hanayaka Collection” ซึ่งเป็นการคอลลาบอเรชั่นระหว่างชิเซโด้และแบรนด์ SIRIVANNAVARI โดย พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ แบรนด์ SIRIVANNAVARI ทรงออกแบบเมกอัพคอลเล็กชั่นดังกล่าว และบรรจุภัณฑ์ทุกชิ้น ซึ่งประกอบด้วย อาย คัลเลอร์ พาเลท 8 เฉดสี, บลัชออน และลิปสติก ราคาตั้งแต่ 2,500-3,500 บาท เริ่มวางขายตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
“โอคาเบะ” ระบุว่า จากเดิมเมกอัพมีสัดส่วน 8% ของสินค้าในเคาน์เตอร์ แต่หลังจากปรับโฉมแล้ว มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 20% ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มฐานลูกค้าที่อายุต่ำกว่า 30 ปีให้เพิ่มขึ้นได้ จากเดิมที่ฐานลูกค้าหลักของแบรนด์คือกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป
“กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนของเราได้ให้ความสำคัญกับ 2 เสาหลัก ซึ่งก็คือ การยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นโปรดักต์ ช่องทาง หรือบริการ ต้องปรับให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่พร้อมกันทั้งหมด”
“ทัตสึกิ นากาโอะ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) กล่าวเสริมว่า ช่องทางการจำหน่าย เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่บริษัทให้ความสำคัญไม่แพ้กัน โดยแผนการขยายสาขา หรือจุดจำหน่ายต่อจากนี้ จะไม่เพียงแค่การเปิดเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าเท่านั้น แต่จะมองทั้งพื้นที่นอกห้าง เช่น “ชิเซโด้ แฟลกชิป สโตร์” ร้านสแตนด์อะโลนแห่งแรกที่จะเปิดในสยามเซ็นเตอร์ในวันที่ 14 พ.ย.นี้ ตลอดจนช่องทางออนไลน์ เช่น การเปิดร้านค้าอย่างเป็นทางการในลาซาด้า, เซ็นทรัลออนไลน์ พร้อมกับการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชั่นไลน์
ทั้งการให้ข้อมูลของสินค้า โปรโมชั่น กิจกรรมพิเศษ ฯลฯ เสริมจากสาขาออฟไลน์ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 80 แห่งทั่วประเทศ เพื่อต่อยอดสู่การทำตลาดแบบออมนิแชนเนล ที่จะเชื่อมทุก ๆ ช่องทางเข้าไว้ด้วยกัน
“ทัตสึกิ” ระบุว่า ตลาดเครื่องสำอางในไทยถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยภายในปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 1.5-1.6 แสนล้านบาท มีการเติบโต 7-8% และถือเป็นตลาดสำคัญของบริษัท จากการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยชิเซโด้ถือเป็นเคาน์เตอร์แบรนด์ที่มียอดขายอันดับ 1 ในช่องทางห้างสรรพสินค้าในปัจจุบันการจัดทัพใหม่ของชิเซโด้คราวนี้ จะมัดใจคนรุ่นใหม่และรักษาความเป็นผู้นำในบัลลังก์ความงาม ท่ามกลางการแข่งขันที่ร้อนแรงได้ขนาดไหน คงต้องติดตาม