“นีโอ”ทุ่มงบ 2 พันล้านผุดรง. เพิ่มกำลังผลิตลุยไทย-เทศ

นีโอ คอร์ปอเรท ทุ่มงบฯ 2 พันล้าน ผุดโรงงานใหม่ขยายฐานการผลิต ชูกลยุทธ์ R&D Center พัฒนาสินค้านวัตกรรมเจาะตลาดพรีเมี่ยมรับเทรนด์สุขภาพ พร้อมเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ หวังโกย 10,000 ล้านภายในปี 2565

นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานกรรมการและประธานบริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคภายใต้แบรนด์ไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์ ฯลฯ เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท สร้างโรงงานและคลังจัดเก็บสินค้าแห่งใหม่ บนเนื้อที่ 190 ไร่ย่านลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและขยายไลน์การผลิตสินค้าใหม่ ทั้งในกลุ่มสินค้าของใช้ส่วนตัว และผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ภายใต้กลยุทธ์ R&D Center หรือศูนย์รวมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ในแคทิกอรี่ใหม่ ๆ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ อีกทั้งบริษัทได้จับมือกับพาร์ตเนอร์จากประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 2 ปี ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกัน โดยนำระบบ AS&RS หรือระบบซัพพลายเชนระดับเวิลด์คลาส และมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน เป็นระบบจ่ายสินค้าผ่านระบบอัตโนมัติ โดยข้อดีของระบบนี้ ได้แก่ การจัดส่งสินค้าจากโรงงานผลิตถึงคลังสินค้าได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และแม่นยำ และสามารถเพิ่มการจัดเก็บสินค้าได้ถึง 2.5 เท่า

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนพัฒนาพื้นที่โรงงานแห่งใหม่ ให้เป็นศูนย์วิจัยสำหรับวิจัยพืชและวัตถุดิบท้องถิ่นจากธรรมชาติ นำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับเทรนด์สุขภาพในทุกเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น

ขณะที่ภาพรวมของบริษัทในปี 2561 เติบโตขึ้น 10% หรือมีรายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าของใช้ส่วนตัว 40% และผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน 60% โดยที่ผ่านมาจะเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2562 บริษัทยังคงเน้นการทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศจะเน้นเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในทุก ๆ เซ็กเมนต์ และมุ่งนำนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยเน้นเทรนด์ธรรมชาติออกสู่ตลาดอย่างครอบคลุม

ขณะที่ตลาดต่างประเทศปัจจุบันส่งออกไปจำหน่ายในประเทศเวียดนาม ลาว และกัมพูชา และได้มีการเจาะตลาดเข้าไปในกลุ่มตะวันออกกลาง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน อิรัก และประเทศในแถบเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ บรูไน มัลดีฟส์ และปากีสถาน นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนส่งออกไปประเทศอินเดีย โดยมองว่าเป็นโอกาสสร้างการเติบโต เพราะประเทศอินเดียเป็นตลาดใหญ่ และนิยมสินค้าที่ผลิตในไทย คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้จากการส่งออกในปีนี้เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อนที่ขยายตัว 14%

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดโรงงานแห่งใหม่เชื่อมั่นว่าจะช่วยให้บริษัทมียอดขายในปีนี้เติบโตกว่า 10% หรือประมาณ 6,600 ล้านบาท และตั้งเป้าผลักดันรายได้รวมเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาทภายในปี 2565

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!