ตลาดวิจัยไทยแข่งแรง เทคโนโลยีหมุนเร็ว โอกาสใหม่บริษัทเล็ก ต้นทุนไม่สูงแต่คล่องตัว ล่าสุดยักษ์วิจัยญี่ปุ่น “วีดีโอ รีเสิร์ช” ถอดใจปิดตำนาน 16 ปีในตลาดไทย ตามนโยบายบริษัทแม่ที่หันโฟกัสตลาดทีวีเรตติ้งญี่ปุ่น
เมื่อธุรกิจเปลี่ยนเร็ว ทำให้บริษัทวิจัยการตลาดที่เป็นเสมือนฐานสำคัญของธุรกิจต่าง ๆ ต้องปรับตัวให้เร็วขึ้น เพื่อช่วงชิงโอกาสและตอบไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคนี้ให้ทัน ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจวิจัยแข่งขันสูงจากการเพิ่มขึ้นของบริษัทเล็ก ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทำให้เก็บข้อมูลได้เร็วขึ้น แต่ใช้บุคลากรน้อย และต้นทุนโดยรวมไม่สูงเมื่อเทียบกับบริษัทวิจัยรายใหญ่ กลายเป็นโจทย์สำคัญที่บริษัทวิจัยยักษ์ต้องรีบแก้
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
ตลาดวิจัยแข่งเดือด
แหล่งข่าวจากบริษัทวิจัยรายใหญ่ ให้ข้อมูลกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ล่าสุดบริษัท วีดีโอ รีเสิร์ช อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยการตลาดย่อยของวีดีโอ รีเสิร์ช (ญี่ปุ่น) ที่ดำเนินการในไทยมากว่า 16 ปี ได้ตัดสินใจปิดบริษัทลงอย่างเป็นทางการเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา จากการเปลี่ยนนโยบายลงทุนต่างประเทศใหม่ของบริษัทแม่ ประกอบกับการแข่งขันของธุรกิจวิจัยในไทยที่สูงขึ้น อีกทั้งต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องมีการลงทุนอุปกรณ์ใหม่ ๆ ต่อเนื่อง จนท้ายที่สุดก็ต้องตัดสินใจถอยทัพจากตลาดไทยไป
“การขยายตัวเทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดวิจัยแข่งแรง อีกทั้งรูปแบบการเก็บข้อมูลก็เปลี่ยนไป มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยต้นทุนก็ต่ำลง กลายเป็นโอกาสสำคัญของบริษัทวิจัยรายเล็ก ๆ ที่เปิดเพิ่มขึ้น เพราะมีเทคโนโลยีช่วย ใช้บุคลากรน้อย ต้นทุนโดยรวมก็ไม่สูงเมื่อเทียบกับบริษัทวิจัยรายใหญ่ ทำให้บริษัทใหญ่ต้องปรับตัวมาเรื่อย ๆ ทั้งบริหารจัดการต้นทุนภายใน ลดจำนวนบุคลากร เพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อได้”
ถอดใจกลับญี่ปุ่น
แหล่งข่าวจากบริษัทวิจัยรายใหญ่ กล่าวเพิ่มเติมว่า การตัดสินใจถอยทัพกลับญี่ปุ่นครั้งนี้มาจากนโยบายการลงทุนต่างประเทศของบริษัทแม่เปลี่ยนไป โดยต้องการกลับไปโฟกัสในตลาดวิจัยทีวีเรตติ้งญี่ปุ่นที่เป็นตลาดใหญ่และการแข่งขันสูงขึ้น ทั้งนี้เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดและพื้นที่ที่ตัวเองมีความแข็งแรงไว้ให้ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทยอยปิดบริษัทวิจัยที่เคยเข้าไปลงทุนในต่างประเทศมาต่อเนื่อง ก่อนที่ปี 2561 ได้ตัดสินใจปิดบริษัทย่อยในไทยเป็นประเทศสุดท้าย ซึ่งช้ากว่าที่กำหนด เนื่องจากรอความชัดเจนจากผลประมูลการวัดเรตติ้งทีวีของสมาคมวิจัยเพื่อพัฒนาสื่อ (ประเทศไทย) ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญ แต่เมื่อไม่ชนะประมูล ประกอบกับอุตสาหกรรมทีวีในไทยก็ไม่เฟื่องฟูเหมือนที่ผ่านมา ทำให้แนวทางการเติบโตในตลาดไทยก็ลดลง
“เมื่อการแข่งขันตลาดทีวีเรตติ้งซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทแม่รุนแรงขึ้น จากสื่อออนไลน์ที่เข้ามามีบทบาทต่อผู้ชมมากขึ้น พร้อม ๆ กับลดบทบาททีวีลง ทำให้การแข่งขันของบริษัททีวีเรตติ้งในญี่ปุ่นก็สูงขึ้นเป็นเงาตามด้วย ดังนั้นบริษัทหยุดการลงทุนในต่างประเทศ และกลับมารักษารายได้หลักไว้ให้มั่น”
ย้อนดูผลประกอบการ
จากข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มรายได้ของวีดีโอ รีเสิร์ช ประเทศไทย ลดลงต่อเนื่อง โดยปี 2560 มีรายได้ 29 ล้านบาท กำไร 486,605 บาท ปี 2559 มีรายได้ 19 ล้านบาท ขาดทุน 3 ล้านบาท และปี 2558 มีรายได้ 28 ล้านบาท กำไร 725,944 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับบริษัท วีดีโอ รีเสิร์ช จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ถือเป็นผู้ดำเนินธุรกิจวิจัยการตลาดและวิจัยสื่อโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นมานานกว่า 50 ปี และได้เข้ามาเปิดบริษัทย่อยในไทยภายใต้ชื่อบริษัท วีดีโอ รีเสิร์ช อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่ปี 2545 ซึ่งช่วง 10 ปีแรกที่เข้ามาทำตลาดในไทยก็โฟกัสที่การวิจัย สื่อ โฆษณา เจาะกลุ่มมีเดียเอเยนซี่ แต่ช่วงหลังตลาดวิจัยเปลี่ยนเร็ว การแข่งขันสูงขึ้น ทำให้วีดีโอ รีเสิร์ชปรับทิศทางใหม่ โดยเปิดกว้างในการทำวิจัยที่หลากหลายมากขึ้น หนึ่งในนั้น คือ งานวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค “T-Cube Thailand” เป็นฐานข้อมูลวิจัยที่ช่วยให้สินค้าเข้าใจพื้นฐานทางการตลาดมากขึ้น ซึ่งลิขสิทธิ์ “T-Cube Thailand” ถูกส่งให้บริษัท เคเดนซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (Kadence International Thailand) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Cross Marketing Group ที่มีวีดีโอ รีเสิร์ช (ญี่ปุ่น) ถือหุ้นในสัดส่วน 2.45% เป็นผู้ดูแลต่อ
ขณะเดียวกันข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท เคเดนซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนขึ้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2558 เพื่อดำเนินธุรกิจวิจัยการตลาดและสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดยประกอบด้วยผู้ถือหุ้น 5 บริษัท ได้แก่ ครอส มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป อิงก์ (ญี่ปุ่น) 48.99% บริษัท เอสบีซีเอส จำกัด (ไทย) 17% บริษัท เอสเอ็มบีซี แมเนจเม้นท์เซอร์วิส จำกัด (ไทย) 17% บริษัท เอสเอ็มเอสบี จำกัด (ไทย) 17% ครอส มาร์เก็ตติ้ง เอเชีย พีทีอี ลิมิเต็ด (สิงคโปร์) 0.0025%
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!