กลุ่มไมเนอร์พร้อมลุยดิวตี้ฟรี เปิดเกมธุรกิจอาหาร-โรงแรม-ไลฟ์สไตล์

“ไมเนอร์ กรุ๊ป” เคลื่อนทัพ 3 กลุ่มธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร-จัดจำหน่าย ด้านกลุ่มร้านอาหารกำไรหด จากภาวะเศรษฐกิจ-แข่งขันสูง เร่งเดินหน้าพัฒนาเมนูแปลกใหม่ พร้อมอัดแคมเปญปลุกยอดขายอย่างต่อเนื่อง

นายวิลเลียม ไฮเน็ค ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจ “ไมเนอร์ กรุ๊ป” ในปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นจาก 3 กลุ่มธุรกิจ โดยมีสัดส่วนรายได้ ของไมเนอร์ โฮเทลส์ ธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ มีรายได้ประมาณ 50,000 ล้านบาท มีกำไรเพิ่มขึ้น 63%

โดยส่วนใหญ่มาจากโรงแรมในประเทศไทย โปรตุเกส และบราซิล รวมทั้งผลการดำเนินงานของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ตั้งแต่เข้าไปลงทุน ส่วนธุรกิจไลฟ์สไตล์ หรือจัดจำหน่าย มีรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท ที่ผ่านมาได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ ได้แก่ เซฟมายแบค กระเป๋าถือและเครื่องประดับจากอิตาลี และโบเดิ้ม ผู้ผลิตเครื่องชงกาแฟ

ขณะที่ผลการดำเนินงานของ “ไมเนอร์ ฟู้ด” ภายใต้แบรนด์เดอะพิซซ่า คอมปะนี, สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เล่อร์, แดรี่ควีน, เบอร์เกอร์คิง, เดอะคอฟฟี่ คลับ และไทยเอ็กซ์เพรส ในปี 2561 มีรายได้ประมาณ 23,484 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิลดลงอยู่ที่ 1,521 ล้านบาท จากปัจจัยการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและอัตราการบริโภคที่ลดลง ส่งผลให้ไมเนอร์ ฟู้ดต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความแปลกใหม่ และจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง

เช่นเดียวกับธุรกิจร้านอาหารมีการแข่งขันสูง เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาแข่งขันได้ง่าย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่มีการจัดพื้นที่ค้าปลีกให้ร้านอาหารและเครื่องดื่มในห้างสรรพสินค้ามากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมาก ออกมาจัดสารพัดแคมเปญเพื่อเรียกลูกค้าเข้าร้าน

ที่ผ่านมา “ไมเนอร์ ฟู้ด” ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับธุรกิจ ด้วยแพลตฟอร์มบริการส่งอาหารของแบรนด์เดอะพิซซ่า คอมปะนี และแบรนด์อื่น ๆ โดยมีการเพิ่มช่องทางการสั่งซื้ออาหารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ เช่น “1112Delivery” เพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2562 ไมเนอร์ ฟู้ด มุ่งดำเนินธุรกิจ ผ่านกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าและการตลาด โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาบริการจัดส่งอาหาร ตลอดจนพัฒนาสินค้าเดิมและสินค้าใหม่ให้มีความน่าสนใจและเป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงปรับรูปแบบร้านใหม่ ตกแต่งให้ทันสมัยขึ้น

พร้อมกันนี้ยังเตรียมเพิ่มความหลากหลายของประเภทร้านอาหารให้ครอบคลุม เช่น อาหารตะวันตก พิซซ่า สเต๊ก แฮมเบอร์เกอร์ ไอศกรีม ตลอดจนอาหารไทย จีน และกาแฟ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มได้

สำหรับตลาดต่างประเทศ นอกจากกลุ่มธุรกิจหลักในประเทศไทย ออสเตรเลีย และจีน ไมเนอร์ ฟู้ด ยังมีร้านอาหารจำนวน 299 สาขา ใน 23 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลาง มหาสมุทรอินเดีย ยุโรป และประเทศแคนาดา แม้ขณะนี้ตลาดยังเล็ก แต่ก็มีแนวโน้มการเติบโตในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีร้านอาหารแบรนด์ เดอะพิซซ่า คอมปะนี สเวนเซ่นส์ ไทยเอ็กซ์เพรส เบอร์เกอร์คิง และเดอะคอฟฟี่ คลับ ทำตลาดในประเทศซีแอลเอ็มวี ได้แก่ กัมพูชา ลาว เวียดนาม และเมียนมา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด โดยมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นกว่า 20%

ล่าสุดได้ขยายธุรกิจไปตลาดใหม่ ได้แก่ ประเทศกาตาร์ ด้วยการเปิดร้านเดอะคอฟฟี่คลับ และเปิดร้านเซเวนเซ่นส์ที่ประเทศปากีสถาน

นายวิลเลียมกล่าวต่อว่า ไมเนอร์ยังคงมุ่งเน้นสร้างเครือข่ายแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ด้วยสภาพแวดล้อมของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้บริษัทต้องปรับตัว ให้เข้าถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมและดิจิทัล ที่เป็นปัจจัยหลักที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยเป้าหมายที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดร้านอาหาร ในปี 2562 จากการพัฒนาเมนูใหม่ และให้บริการดีลิเวอรี่ พร้อมกับเดินหน้าขยายสาขาให้ครอบคลุม ตั้งเป้ายอดขายโตประมาณ 10%


นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานเจ้าหน้าที่การเงินส่วนกลางและรองประธานฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ไมเนอร์ได้ให้ความสนใจเข้าประมูลดิวตี้ฟรี พื้นที่เชิงพาณิชย์สนามบินสุวรรณภูมิ โดยอยู่ในขั้นตอนรวบรวมและรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2562 ท่าอากาศยานได้นัดให้ไปขอข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติม และทางไมเนอร์ ยังไม่สามารถคอมเมนต์ได้มากกว่านี้