“โอสถสภา” รุกตลาดพรีเมี่ยม ขนทัพแบรนด์ใหม่รับเทรนด์สุขภาพแรง

โอสถสภา

“โอสถสภา” เดินหน้าปั้นไลน์อัพสินค้าพรีเมี่ยมทุกเซ็กเมนต์ เน้นจุดขายสุขภาพรับเทรนด์สูงวัย-เฮลตี้ เล็งลอนช์ฟังก์ชั่นนอลดริงก์ใหม่อีก 2-3 เอสเคยู พร้อมซี-วิตแพ็กเกจใหม่เจาะสถานศึกษา ซุ่มทดลองแบรนด์ใหม่เพอร์ซันนอลแคร์เสริมเบบี้มายด์ชูส่วนผสมธรรมชาติ 100% เอาใจสายออร์แกนิก พร้อมเพิ่มลูกค้าโออีเอ็มสร้างรายได้เสริมหลังโรงงานขวดแก้วใหม่เสร็จ ส.ค.นี้ ส่วนตลาดต่างประเทศเตรียมรุกหนักเมียนมาฉลองโรงงานใหม่เดินเครื่องปลายปี ศึกษาตลาดเครื่องดื่มเวียดนาม-จีน มั่นใจกลยุทธ์ใหม่ช่วยเพิ่มรายได้-กำไร 

ที่ผ่านมา แม้ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยรวมจะไม่เอื้อนัก แต่ผลการดำเนินงานของโอสถสภา ผู้นำในตลาดเครื่องดื่มและสินค้าสำหรับเด็ก ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง และจากนี้ไปก็มีแผนจะรุกตลาดอีกเป็นระลอก ๆ ทั้งการออกสินค้าใหม่ การปรับสูตรสินค้า รวมทั้งการเดินหน้าขยายตลาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่จะหนักหน่วงมากขึ้น

งัดกลยุทธ์พรีเมี่ยมไมเซชั่นบุก

นางสาวจิตอาภา อัมราลิขิต หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ทางการเงิน บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่าย สินค้าแบรนด์เอ็ม-150 เบบี้มายด์ เปปทีน ทัมใจและอื่น ๆ เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ว่า บริษัทมีแผนจะรุกตลาดมากขึ้น โดยในส่วนของตลาดเครื่องดื่มน็อนแอลกอฮอล์และของใช้ส่วนบุคคลหรือเพอร์ซันนอลแคร์ โดยจะเน้นการใช้กลยุทธ์พรีเมี่ยมไมเซชั่น หรือการทำสินค้าให้พรีเมี่ยมมากขึ้น โดยเฉพาะจุดขายด้านสุขภาพซึ่งสอดคล้องกับความสนใจของผู้บริโภคสูงวัยที่เพิ่มจำนวนขึ้นในปัจจุบันและยอมลงทุนเพื่อดูแลสุขภาพตนเอง เช่น การใช้สารสกัดจากสมุนไพรหรือใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ 100%, การเสริมสารอาหาร รวมถึงสูตรไร้น้ำตาล-น้ำตาลต่ำ เป็นต้น ซึ่งนอกจากเป็นการรองรับตลาดพรีเมี่ยมที่มีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้นแล้ว อีกด้านหนึ่งก็จะช่วยเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาในตลาดที่มีผู้เล่นจำนวนมาก โดยเฉพาะฟังก์ชั่นนอลดริงก์ และเครื่องดื่มชูกำลัง

“สินค้าฟังก์ชั่นนอลดริงก์ถือเป็นเซ็กเมนต์ที่มีโอกาสเติบโตสูงตามเทรนด์ตลาด ขณะที่กลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์ บริษัทวางเป้าให้เป็นแหล่งรายได้หลักใหม่ หลังจากที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณว่าเป็นกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนกำไรสูงสุด ขณะเดียวกัน บริษัทก็เดินหน้าเพิ่มฐานลูกค้าในธุรกิจรับจ้างผลิตขวดแก้ว

และของใช้ส่วนบุคคล หลังโรงงานขวดแก้วแห่งใหม่ที่นิคมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะเริ่มเดินเครื่องในไตรมาส 3 นี้ และจะทำให้มีกำลังผลิตเหลือพอที่จะรับจ้างผลิตของผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ได้”

ขนสินค้าใหม่ขยายฐาน

นางสาวจิตอาภากล่าวต่อไปว่า สำหรับกลุ่มฟังก์ชั่นนอลดริงก์ บริษัทจะมีสินค้าใหม่อีก 2-3 เอสเคยู หลังการลอนช์ เปปทีน พลัส ที่เน้นจุดขายเสริมวิตามินและไร้น้ำตาล ไปเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและประสบความสำเร็จน่าพอใจ รวมทั้งจะเร่งเพิ่มกำลังผลิตเครื่องดื่มซี-วิต ที่มีจุดขายด้านวิตามินซี เพื่อรองรับดีมานด์ที่พุ่งสูงสะท้อนจากยอดขาย 500 ล้านบาท และมี

ส่วนแบ่งตลาดฟังก์ชั่นนอลดริงก์ 28% ในไตรมาสแรก เพิ่มจากไตรมาสก่อน 2.9% จนปัจจุบันสินค้าขาดและต้องลดพื้นที่วางในร้านสะดวกซื้อลงชั่วคราว พร้อมกับเพิ่มไลน์อัพเครื่องดื่มซี-วิต ในแพ็กเกจจิ้งกล่องยูเอชที สำหรับการวางจำหน่ายในสถานศึกษา ที่ไม่สามารถวางจำหน่ายสินค้าที่เป็นขวดแก้วได้

เช่นเดียวกับลูกอมโอเล่ เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์สุขภาพ บริษัทจะทยอยลอนช์รสชาติใหม่ รวมทั้งสูตรไม่มีน้ำตาลในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ยังจับมือแอปพลิเคชั่นไลน์ จัดแคมเปญสะสมคะแนนและของรางวัลจากเครื่องดื่มเอ็ม-150 เพื่อเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และเก็บข้อมูลบิ๊กดาต้าไปพร้อมกัน ควบคู่กับการทยอยขยายช่องทางจำหน่ายเครื่องดื่มเปปทีนและชาร์ค โดยจะหันมาเน้นช่องทางที่เป็นอีคอมเมิร์ซ พร้อมบริการส่งฟรี ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสการขายอีกทางหนึ่งด้วย

ชูสูตรออร์แกนิกเจาะพรีเมี่ยม

นางสาวจิตอาภาให้ข้อมูลเพิ่มว่า ขณะที่กลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์ ล่าสุดในขณะนี้ได้เริ่มลอนช์ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแบรนด์ใหม่ “ออร์แกนิก” (Organik) จากเดิมที่มีแบรนด์เบบี้มายด์ทำตลาดอยู่แล้ว โดยวางโพซิชั่นและราคาสูงกว่าเบบี้มายด์ โดยจะเน้นจุดขายพรีเมี่ยม ด้วยจุดขายใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ 100% ขณะนี้ได้เริ่มทำตลาดแล้วในช่องทางออนไลน์ อาทิ ลาซาด้า เป็นต้น ส่วนแบรนด์เบบี้มายด์ จะเพิ่มสูตรสารสกัดธรรมชาติและเสริมวิตามินเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีสินค้าใหม่รอเปิดตัวอีกจำนวนหนึ่ง

“การปรับกลยุทธ์เหล่านี้มั่นใจจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาตำแหน่งเบอร์ 1 ในตลาดชูกำลัง ซึ่งเอ็ม-150 ครองส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 37% ขณะที่ฟังก์ชั่นนอลดริงก์ที่ซี-วิต มีส่วนแบ่ง 28% รวมถึงเพิ่มอัตรารายได้และสัดส่วนกำไรจากธุรกิจของใช้ส่วนบุคคลรวมถึงธุรกิจโออีเอ็ม”

บุกเมียนมา-เวียดนาม

ด้านตลาดต่างประเทศ นางสาวจิตอาภากล่าวว่า บริษัทมีนโยบายจะใช้เครื่องชูกำลังเป็นหัวหอกในการทำตลาด เนื่องจากอัตราการบริโภคในหลายประเทศยังต่ำ เช่น จีน และเวียดนาม ซึ่งมีสัดส่วน 2.2% และ 7.1% ตามลำดับ เทียบกับไทยที่สูงถึง 9.5% ของประชากร ควบคู่กับการนำสินค้ากลุ่มเพอร์ซันนอลแคร์เข้ามาทำตลาด

สำหรับประเทศเมียนมาที่เป็นตลาดหลักสร้างยอดขาย 70-80% ของรายได้ต่างประเทศ โดยมีแบรนด์ชาร์ค และเอ็ม-150 เป็นสินค้าหลักนั้น นอกจากนี้ โรงงานแห่งใหม่มีกำหนดแล้วเสร็จช่วงปลายปีนี้ จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรและความคล่องตัวในการผลักดันทั้ง 2 แบรนด์ให้ทันกับสภาพตลาดมากขึ้น ส่วนตลาดในเวียดนาม บริษัทได้เริ่มนำแบรนด์เบบี้มายด์เข้าไปทำตลาด และมุ่งกระจายสินค้าไปในช่องทางหลัก ๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาตลาดเครื่องดื่มเพื่อหาโอกาสรุกตลาดต่อไป เช่นเดียวกับในประเทศจีนที่ตลาดเครื่องดื่มมีการแข่งขันสูง