ยืดแผนหมื่นล้านรอกำลังซื้อ “นีโอฯ” โละสินค้าไม่ทำยอด

นีโอ ยืดเวลาแผนรายได้หมื่นล้าน รอกำลังซื้อ-กำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ พร้อมจับมือพาร์ตเนอร์ญี่ปุ่น-เกาหลีผุดศูนย์พัฒนาสินค้านวัตกรรม หั่นสินค้ายอดขายต่ำออกจากพอร์ต ขยับราคาขายรับต้นทุนพุ่ง จัดโปรโมชั่น กระตุ้นยอดขาย

นางปัทมา ถกลศรี ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคภายใต้แบรนด์ ไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์ ฯลฯ กล่าวว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ประกอบกับการปรับโครงสร้างภายใน อีกทั้งเพื่อรอความพร้อมจากกำลังการผลิตของโรงงานใหม่ย่านลำลูกกา คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มผลิตสินค้ากลุ่มดูแลเครื่องใช้ในบ้านเฟสแรกได้กลางปี 2561 ทำให้บริษัทตัดสินใจปรับยืดเป้าหมายที่วางไว้ว่า จะมีรายได้ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี เป็น 7 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมในการบุกตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างเต็มกำลัง

สำหรับโรงงานดังกล่าวใช้งบฯลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าดูแลของใช้ในบ้าน ของใช้ส่วนบุคคล รวมถึงเป็นพื้นที่ตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาสินค้าที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างพาร์ตเนอร์ญี่ปุ่น-เกาหลี สำหรับพัฒนาสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมและสินค้านวัตกรรม รวมทั้งการพัฒนาสินค้าในแคทิกอรี่ใหม่ ๆ รองรับความต้องการของตลาดคาดว่าจะเริ่มผลิตสินค้าในกลุ่มของใช้ส่วนบุคคลที่คิดค้นจากศูนย์วิจัยนี้ลงสู่ตลาดได้ในปีหน้า

ทิศทางธุรกิจปีนี้จะโฟกัสสินค้าที่มีการเติบโตที่ดี โดยตัดสินค้าบางรายการ บางขนาดที่ยอดขายไม่สูงออกไปกว่า 25% เพื่อลดต้นทุน ส่วนผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก “ดีนี่” ที่ปัจจุบันเป็นเบอร์หนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าเด็ก 1,000 ล้าน จะเป็นสินค้าหัวหอกสำหรับการขยายตลาด เพื่อรับกับพฤติกรรมของคุณแม่พร้อมจ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่มีคุณภาพให้กับลูก แม้ตลาดรวมของผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก (เฉพาะกลุ่มสินค้าดูแลเครื่องใช้ และดูแลผิวพรรณสำหรับเด็ก) 5,800 ล้านบาท จะค่อนข้างทรงตัวในปีนี้ เพราะคู่แข่งชะลอการทำตลาดไป โดยจะใช้งบฯการตลาดราว 350 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ เพิ่มช่องทางขายให้ครอบคลุม ปูพรม “D-nee shop” ร้านจำหน่ายสินค้าของดีนี่ ให้ครบ 20 สาขา ใน 3 ปี จากปัจจุบันมี 3 สาขา ในแผนกสินค้าเด็กของห้างสรรพสินค้า และช่องทางขายในออนไลน์

“ปีก่อนปรับราคาสินค้าของกลุ่มผลิตภัณฑ์เด็กขึ้น 10% ให้สอดรับกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น รวมทั้งจัดโปรโมชั่นกระตุ้นกำลังซื้อ”

ในส่วนตลาดต่างประเทศ ปีหน้าจะเริ่มเข้าไปทำการตลาดอย่างจริงจัง หลังจากปีนี้เริ่มเข้าไปศึกษาตลาดในต่างประเทศมากขึ้น คาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 25% ใน 3 ปี จากปัจจุบัน 10% โดยมีซีแอลเอ็มวีเป็นตลาดหลัก ส่วนสิ้นปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวม 5,300 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 9%