“อินเด็กซ์” เนื้อหอมตปท.รุมจีบ จัดพาวิเลียนงานเวิลด์เอ็กซ์โป

“อินเด็กซ์” จ่อคว้าสิทธิบริหารพาวิเลียนในเวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 เพิ่มอีกประเทศ คาดปลายปีชัดเจน ก่อนเดินหน้าลุยอีเวนต์งานแฟร์ไทย-อาเซียน เชื่อสถานการณ์ครึ่งปีหลังยังเป็นบวก มอง รบ.ชุดใหม่อยู่ในช่วง “ฮันนีมูนพีเรียด” หลายสินค้าเร่งเดินหน้าอัดงบฯตลาดปลุกยอดขาย คาดส่งผลธุรกิจอีเวนต์/บริษัทเติบโตต่อเนื่อง

นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากที่อินเด็กซ์ได้สิทธิในการบริหารไทย พาวิเลียน ภายในงานเวิลด์ เอ็กซ์โป 2020 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2563-20 เมษายน 2564 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ล่าสุด บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับหลายประเทศ เพื่อจัดทำพาวิเลียนให้ภายในงานดังกล่าว โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนภายในปลายปีนี้-ต้นปีหน้า

ส่วนการเตรียมงานของไทย พาวิเลียน ที่จะจัดภายใต้แนวคิด Mobility for the future การขับเคลื่อนสู่อนาคต ขณะนี้เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ หลังจากที่ได้รับโจทย์หลักคือกลุ่มเป้าหมายที่จะมางานเป็นนักท่องเที่ยวถึง 70% ต่างจากปีก่อนหน้าที่จะเป็นกลุ่มคนท้องถิ่นเป็นหลัก โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมเอาไว้สำหรับทุกชนชาติที่จะมาเข้าร่วมภายในงาน

“ต้องยอมรับว่าเวิลด์ เอ็กซ์โป ช่วยให้เราเป็นที่รู้จักและจับตามองมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในด้านของวิธีคิด การนำเสนอที่แตกต่าง ในช่วงที่ผ่านมาจึงได้รับการติดต่อหน่วยงานจากต่างประเทศหลายราย อย่างโปรเจ็กต์

ล่าสุดที่ประมูล (bidding) ได้คืองานวันชาติกาตาร์ งบฯลงทุน 100 ล้านบาท จัดงาน 1 วัน ถือว่าเป็นสเกลที่ค่อนข้างใหญ่ บ่งบอกถึงศักยภาพของเรา เพราะอยู่ดี ๆ ถ้าเราไม่มีชื่อชั้น เขาคงไม่เรียกเราเข้าไปร่วมประมูลแข่งกับบริษัทระดับโลก”

ส่วนด้านของธุรกิจอีเวนต์ในปีนี้ ช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงต้นปีหน้า จะมีทั้งโปรเจ็กต์ในประเทศและต่างประเทศ เช่น ที่เมียนมาและกัมพูชา อาทิ วัดร่องขุ่น ไลท์เฟส จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 22 พ.ย.-22 ธ.ค. 2562 งานแคมโบเดีย อาร์คิเทกต์ แอนด์ เดคคอร์ ระหว่างวันที่ 6-8 มิ.ย. 2562 งานเมียนมา ฟู้ด เบฟ และงานเมียนมา รีเทล ซอร์ซซิ่ง เอ็กซ์โป ระหว่างวันที่ 15-17 ส.ค. 2562 เป็นต้น

นายเกรียงไกรยังระบุต่อไปอีกว่า สำหรับภาพรวมของตลาดอีเวนต์ในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่านักธุรกิจและแบรนด์สินค้ายังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะทุกคนอยู่ในภาวะของการจับตารอดูสถานการณ์ (wait and see) มาแล้วครึ่งปี แม้ว่าจะมีปัจจัยอย่างสงครามการค้าจีน-สหรัฐ รวมถึงการเมืองในประเทศที่ไม่นิ่ง แต่อย่างน้อยคาดว่าจะมีช่วงของ honeymoon period ภายหลังจากการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จ ทำให้ปีนี้ตลาดอีเวนต์จะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5% (ในกรณีไม่มีวิกฤตทางการเมืองอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ม็อบ) สินค้าที่มีแนวโน้มใช้งบฯเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มคอนซูเมอร์ รถยนต์ เป็นต้น ส่วนภาพรวมของอินเด็กซ์ในปีนี้ คาดว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ 10-15%

“เรามองว่าการจับจ่ายของคนยังมีอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนวิธีไปเท่านั้น คนย้ายการใช้เงินไปในออนไลน์มากขึ้น ก็ทำให้ร้านค้าทั่วไปขายได้ลดลง จริง ๆ แล้วเงินยังมีอยู่ในระบบ และคนบางกลุ่มก็ใช้เงินเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กล้าใช้เงินมากขึ้น กล้าเที่ยว หรือเม็ดเงินในโฆษณาที่ย้ายไปอยู่ในดิจิทัลมากขึ้นเช่นกัน บางคนบอกเป็นที่เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งมันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” นายเกรียงไกรกล่าวทิ้งท้าย