รับอานิสงส์สงครามการค้า ‘ซาบีน่า’ ปรับกลยุทธ์ ลุยเพิ่มน้ำหนักรับจ้างผลิต โกยรายได้

นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ “ซาบีน่า” กล่าวว่า หลังจาก “ซาบีน่า” ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจโดยเพิ่มสัดส่วนการจ้างโรงงานในประเทศจีนผลิตสินค้าให้กับบริษัทฯ ปรากฏว่า บริษัทฯ ได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนอย่างชัดเจน โดยต้นทุนการจ้างผลิตของซาบีน่าลดลง เนื่องจากโรงงานในจีนต้องการคำสั่งซื้อ เพราะเกิดการแข่งขันด้านราคา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของบริษัทฯ ขยับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


โดยอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการรับจ้างผลิตและผลิตเองเป็น50%เท่ากันจากปัจจุบันอยู่ที่รับจ้างผลิต 30% และผลิตเอง 70% โดยวางเป้าหมายดำเนินการภายใน 2 ปี

สำหรับกลยุทธ์นี้ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงแล้ว ยังเป็นการรองรับกับนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในอนาคตอีกด้วย อย่างไรก็ตาม    ซาบีน่ายืนยันมาโดยตลอดว่า ไม่มีนโยบายลดพนักงาน แต่จะไม่รับพนักงานเพิ่มเข้ามาทดแทนพนักงานที่ลาออกไป ดังนั้น การเพิ่มสัดส่วนการจ้างโรงงานในประเทศจีนผลิตสินค้า จะทำให้บริษัทฯ ไม่จำเป็นต้องเพิ่มกำลังการผลิต ไม่ต้องลงทุนขยายโรงงาน แต่เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้บริษัทฯ มีปริมาณสินค้ารองรับกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นสินค้าคุณภาพที่ควบคุมตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงกระบวนการผลิตภายใต้มาตรฐานแบรนด์ “ซาบีน่า”“ต้องยอมรับว่าโรงงานในจีนกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากคำสั่งซื้อที่หายไป ล่าสุดมีซัพพลายเออร์หลายรายในจีนติดต่อเข้ามาขอพบกับซาบีน่า ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์นี้ทำให้ต้นทุนการจ้างผลิตของซาบีน่าลดลง และทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น”

นายบุญชัย กล่าวเพิ่มว่า ปี 2561 มีสัดส่วนการจ้างผลิตประมาณ 18% มีมาร์จินจากการจ้างผลิตอยู่ที่ 59% แต่ไตรมาสแรกปีนี้ สัดส่วนการจ้างผลิตเพิ่มเป็น 33% และมาร์จินขยับเป็น 62% ดังนั้นคาดการณ์ว่า มาร์จินปี 2562 จะขยับขึ้นราว 1-3% จากปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ 51.6%

นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟดส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่จ้างผลิตในประเทศจีนลดต่ำลง ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเพิ่มงบการตลาด เพื่อที่จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ และเพิ่มยอดขายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมคึกคักมากขึ้น