ร้านซักผ้าหยอดเหรียญบูม ทุนไทย-เทศปั้นแฟรนไซส์รับตลาดโต

ตลาดใหม่มาแรง ร้านสะดวกซักโตไม่หยุดรับไลฟ์สไตล์คนเมือง-ยอมลงทุนเพื่อความสะดวก ไทย-เทศตะลุยผุดสาขาเป็นดอกเห็ด คาดสิ้นปีตัวเลขทะลุ 400 แห่ง เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ด้าน “เค-เน็กซ์” เร่งขยายสาขา-ขายแฟรนไชส์ “อ๊อตเทริ” ส่วน”กันยง” มองอนาคตใสจับมือไต้หวัน ปั้นแบรนด์ “มารุ ลอนดรี้” ชูเครื่องใหญ่เจาะกลุ่มครอบครัว ชี้ตลาดแข่งเดือด เริ่มเห็นภาพการลดค่าแฟรนไชส์-ลดค่าเครื่อง-แบ่งจ่ายได้ หวังจูงใจลงทุน ขณะที่ไฮเออร์ขยับทัพประกาศร่วมวง “ลอนดรีบาร์” แบรนด์ดังจากมาเลเซียบุก

ธุรกิจร้านสะดวกซักหรือร้านซักผ้าหยอดเหรียญที่ใช้เครื่องซักผ้าระดับอุตสาหกรรม มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดดในปีนี้ สะท้อนจากจำนวนสาขาที่กำลังจะทะลุ 400 สาขาในอีกไม่นาน หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปีก่อน ด้วยปัจจัยหนุนหลายด้านทั้งสภาพตลาดเกิดใหม่การแข่งขันต่ำ พฤติกรรมผู้บริโภคคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย การขยายตัวต่อเนื่องของผู้เล่นแต่ละรายได้ดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งไทยและต่างชาติเข้ามา แม้แต่ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่อย่างกันยงและไฮเออร์ ต่างก็แตกไลน์ธุรกิจเข้ามาร่วมวง

ตลาดเพิ่งเริ่ม-โตได้อีกมาก

นายสุกรี กีไร ผู้จัดการฝ่ายขาย ประจำภูมิภาค บริษัท อัลลิแอนซ์ ลอนดรี้ ซิสเต็มส์ ผู้ผลิตและนำเข้าเครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์จากสหรัฐอเมริกา อาทิ สปีดควีน ฉายภาพตลาดร้านสะดวกซักกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วงครึ่งปีหลังนี้ธุรกิจร้านสะดวกซักมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีร้านสะดวกซักแบรนด์ต่าง ๆ ทั้งไทย-เทศ เปิดให้บริการทั้งร้านที่เป็นแฟรนไชส์และร้านที่ไม่ใช่แฟรนไชส์ มีรวมกันในตลาดมากกว่า 345 สาขา จากกว่า 10 แบรนด์ เพิ่มขึ้นจากช่วงสิ้นปี 2561 ที่มีประมาณ 191 สาขา และคาดว่าสิ้นปีจะมีมากกว่า 400 สาขา หลังมีรายใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดมากขึ้น

อีกด้านหนึ่งก็สะท้อนจากยอดขายเครื่องซักผ้าที่บริษัทขายให้กับแฟรนไชส์รายต่าง ๆ ไปแล้วกว่า 2,300 เครื่อง ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่ายอดทั้งปี 2561 ที่ทำได้ 2,230 เครื่อง และเชื่อว่าสิ้นปีตัวเลขจะบรรลุเป้า 5,000 เครื่องได้แน่นอน โดยขณะนี้เดินหน้าขยายกำลังผลิตของโรงงานหลังเริ่มเดินเครื่องเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมจัดโปรโมชั่นกระตุ้นการตัดสินใจ

“ตลาดนี้ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากปัจจุบันตลาดเพิ่งเริ่ม และจำนวนผู้เล่นและร้านสะดวกซักยังมีน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ซึ่งมีร้านสะดวกซักมากกว่า 2,000 สาขา ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนประชากรน้อยกว่าไทย หากสังเกตจะเห็นได้ว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้จะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจและกำลังซื้อไม่ดีนัก แต่ผู้เล่นหลัก ๆ ในตลาดก็ยังมีการขยายสาขา”

แนวโน้มการแข่งขันเดือด

นายกวิน นิทัศนจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค-เน็กซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์ผู้บริหารเชนร้านสะดวกซัก แบรนด์ “อ๊อตเทริ วอช แอนด์ ดราย” (Otteri Wash and Dry) เปิดเผยว่า นอกจากปัจจัยในแง่ของการตลาดเกิดใหม่ที่มีคู่แข่งน้อยแล้ว และเนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคไทยทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ มีความเข้าใจและต้องการใช้บริการร้านสะดวกซักมากขึ้น ทำให้การทำตลาดง่ายขึ้น และอีกด้านหนึ่งก็ดึงดูดทั้งผู้ประกอบการไทยและแฟรนไชส์จากต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย ให้เข้ามาเปิดกิจการ โดยช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีร้านแฟรนไชส์ขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดซึ่งการมีจำนวนร้าน มีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ทำให้การแข่งขันดุเดือดทั้งการจูงใจเพื่อดึงผู้สนใจลงทุนเซื้อแฟรนไชส์ และดึงดูดลูกค้ามาใช้บริการ โดยหลัก ๆ เป็นเรื่องราคาแพ็กเกจแฟรนไชส์-โปรโมชั่นราคาเครื่องซักผ้า และจัดโปรโมชั่นหน้าร้าน

“ครึ่งปีหลังนี้บริษัทยังโฟกัสขยายสาขาให้ครบ 250 สาขา ปัจจุบันมี 152 สาขา เป็นแฟรนไชส์ 200 สาขา พร้อมรับมือการแข่งขันด้วยการปรับปรุงแพ็กเกจแฟรนไชส์และหาสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ ขยายทีมบริการหลังการขาย เชื่อว่าจะยังรักษาตำแหน่งเบอร์ 1 ของตลาดได้”

“กันยง” ส่ง “มารุ ลอนดรี้” บุก

นายปรวิศ โพธิวรคุณ รองประธานกรรมการ บริษัท กันยงอัพยัง จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคไทยมีไลฟ์สไตล์เร่งรีบและยอมลงทุนเพื่อความสะดวก และธุรกิจซักผ้าก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่โตเร็ว จึงร่วม “อัพยัง” เจ้าของแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก Sesa ที่มีสาขา 100 แห่งในไต้หวัน และ 5 แห่งในญี่ปุ่น ตั้งบริษัทร่วมทุนสัดส่วน 50% นำร้านสะดวกซัก “มารุ ลอนดรี้” เข้ามารุกตลาดนี้

โดยชูจุดขายด้านเครื่องนำเข้าจากญี่ปุ่น และเครื่องขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดด้วยความจุ 17-27 กิโลกรัม มีฟังก์ชั่นซักอบในเครื่องเดียว ซึ่งครอบครัวสามารถนำผ้าทั้งสัปดาห์มาซักได้ในครั้งเดียวในราคาเริ่มต้น 120-180 บาท รวมถึงมีระบบทันสมัยทั้งติดตามการ

ซักผ่านแอปพลิเคชั่น จ่ายเงินผ่านคิวอาร์โค้ดตอบโจทย์ความสะดวก พร้อมจูงใจแฟรนไชซีด้วยการยกเว้นค่าแฟรนไชส์สำหรับผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นปี โดยจะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นเฉพาะค่าเครื่องประมาณ 2.5 ล้านบาท และค่าติดตั้ง 5 แสนบาท สำหรับร้านขนาด 6 เครื่อง พื้นที่ 50 ตร.ม. ทั้งนี้ คาดว่าจะคืนทุนได้ 2-3 ปีขึ้นกับทำเล

“จะเปิดร้านต้นแบบที่บริษัทลงทุนเองในย่านห้วยขวางเดือนกรกฎาคมนี้ ดินหน้าขยายสาขาในทำเลแนวรถไฟฟ้า ทั้งในเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และสแตนด์อะโลน ตั้งเป้าสิ้นปีจะมี 5-10 สาขา และปีหน้าจะขยายเป็น 20-50 สาขา”

รายใหม่จ่อคิวบุกเพียบ

แหล่งข่าวจากวงการร้านสะดวกซักเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากศักยภาพของตลาดนี้ที่ยังมีโอกาสจะเติบโตได้อีกมากดังกล่าว ทำให้ขณะนี้มีนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติหันมาสนใจตลาดนี้มากขึ้น และครึ่งปีหลังนี้จะมีผู้ประกอบการรายใหญ่อีก 2-3 ราย จากมาเลเซียและไต้หวัน เข้ามาเปิดแฟรนไชส์ โดยล่าสุด “ลอนดรีบาร์” (Laundrybar) จากมาเลเซีย มี 520 สาขาทั่วโลก ก็เข้ามาทำตลาด และขายแฟรนไชส์ในไทย โดยมาพร้อมกลยุทธ์จูงใจอย่างไม่เก็บค่ารอยัลตี้ฟี และไม่เก็บส่วนแบ่งรายได้ รวมทั้งยังเปิดให้แบ่งจ่ายค่าแฟรนไชส์ได้ถึง 3 งวด จากที่แฟรนไชซีต้องลงทุน 2.1-3.2 ล้านบาท และรับประกันเครื่อง 5 ปี รวมทั้งมีการจัดร้านแนวโคเวิร์กกิ้งสเปซ เช่นเดียวกับ “ไฮเออร์” ยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าจีนที่ประกาศจะรุกตลาดร้านสะดวกซักในไทยเช่นกัน

ปัจจุบันผู้เล่นรายหลักในตลาดขณะนี้ประกอบด้วย อ๊อตเทริ ที่เป็นผู้เล่นสัญชาติไทยรายใหญ่มีสาขา 157 สาขา ตามด้วยคลีนโปรเอ็กซ์เพรสจากมาเลเซีย ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวน 57 สาขา และวอชเอ็กซ์เพรส แบรนด์ไทยอีกราย จำนวน 30 สาขา