“โค้ก-เป๊ปซี่” อั้นไม่ไหวขึ้นราคา 2-3 บาท/ขวดอ้างต้นทุนภาษีความหวาน

โค้ก เป๊ปซี่ ขึ้นราคา ภาษีความหวาน

อั้นไม่ไหว ! น้ำดำ-น้ำสี “โค้ก-เป๊ปซี่” พร้อมใจปรับราคาขึ้นขวดละ 2-3 บาท ลอตใหม่มีผลทันที วงในชี้แบกรับต้นทุนมานาน-ภาษีความหวานเฟส 2 ปรับใช้ตุลาคมนี้ พร้อมจับตาเกณฑ์ใหม่ รีดภาษี “ฟังก์ชั่นนอลดริงก์” เพิ่ม ทำต้นทุนพุ่ง ส่วนเครื่องดื่มแคทิกอรี่อื่น น้ำผลไม้-ชูกำลังหวานมาก ภาษีมาก เลี่ยงไม่พ้น จ่อขึ้นราคาตามกัน

แม้ภาษีความหวานเฟส 2 ที่จะบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 มีผลทำให้เครื่องดื่มที่มีระดับน้ำตาลเกินกว่าที่กำหนด ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ในขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการเครื่องดื่มออกมาประกาศขึ้นราคาสินค้าแล้วตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มน้ำอัดลม มีผลให้สินค้าลอตใหม่หลังจากประกาศถูกปรับราคาขึ้นทันที เฉลี่ยขวดละ 2-3 หรือลังละ 48-55 บาท

และนอกจากภาษีความหวานในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ยังมีประกาศจากกรมสรรพสามิตอีกฉบับที่จะบังคับใช้ ซึ่งส่งผลกระทบกับเครื่องดื่มกลุ่มฟังก์ชั่นนอลดริงก์ที่ใช้น้ำผลไม้เป็นส่วนผสมต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้อีกประมาณ 10% ของมูลค่าสินค้า ไม่รวมภาษีที่เก็บจากปริมาณความหวาน

โค้ก-เป๊ปซี่ อั้นราคาไม่ไหว

แหล่งข่าวจากบริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายครื่องดื่มโค้ก แฟนต้า สไปรท์ ชเวปส์ ฯลฯ เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทมีแผนปรับราคาสินค้าขึ้นจริง โดยสาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป แต่จะทำการปรับเฉพาะสินค้าบางรายการเท่านั้น เช่น โค้ก แฟนต้า สไปรท์ ในบรรจุภัณฑ์แบบพีอีที ขวดละ 2-3 บาท ส่วนขวดแก้วนั้นยังตรึงราคาขายไว้เท่าเดิม

ด้านแหล่งข่าวจากบริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม อาทิ เครื่องดื่มเป๊ปซี่ มิรินด้า เซเว่นอัพ ฯลฯ คอนเฟิร์มกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทมีนโยบายปรับราคาสินค้าของเป๊ปซี่ในรูปแบบขวดพีอีทีทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 345 มล. จากเดิมราคา 10 บาท เป็น 12 บาท 430 มล. จากเดิม 12 บาท เป็น 15 บาท และขนาด 640 มล. จากเดิม 15 บาท เป็น 17 บาท ซึ่งเป็น
การปรับให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์และกลไกของตลาดที่เกิดขึ้น มีผลเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมาทุกช่องทาง ทั้งเทรดิชั่นนอลเทรด และโมเดิร์นเทรด

ส่วนภาพของการปรับราคาสินค้าในช่องทางร้านค้ารายย่อยโชห่วยขึ้นก่อนนั้นเป็นไปตามกลไกสต๊อกสินค้า คาดว่าจากนี้ในช่องทางอื่น ๆ ก็จะทยอยปรับหลังจากสั่งสต๊อกใหม่เข้ามา อย่างไรก็ตาม มองว่าในช่วงแรกอาจจะกระทบกับมู้ดของผู้บริโภคบ้าง แต่ไม่นานก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีทางเลือกให้กับผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์หวานน้อย หรือไม่มีน้ำตาลอีกหลากหลายรายการ ซึ่งสินค้าในกลุ่มดังกล่าวไม่ได้ปรับราคาขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดน้ำอัดลมมูลค่า 50,000 ล้านบาท ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมามีการเติบโตประมาณ 1.6% แบ่งเป็นน้ำดำ 35,000 ล้านบาท และน้ำสี 15,000 ล้านบาท

“ฟังก์ชั่นนอลดริงก์” คิวต่อไป

แหล่งข่าวระดับสูงจากวงการเครื่องดื่มรายหนึ่ง เปิดเผยว่า การปรับราคาของค่ายน้ำอัดลมในครั้งนี้ สาเหตุหลักมาจากต้นทุนภาษีความหวานที่ภาครัฐเรียกเก็บมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 (เฟสแรก) และกำลังจะขยับอัตราการจัดเก็บเพิ่มในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 นี้ (เฟส 2) ซึ่งในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีผู้ประกอบการรายใดยอมปรับขึ้นราคา จึงต้องแบกรับภาระส่วนนี้เอาไว้ ส่วนต้นทุนอื่น ๆ เช่น วัตถุดิบ หรือแพ็กเกจจิ้งก็มีการปรับขึ้นและลงบ้าง แต่ผู้ประกอบการก็จะใช้วิธีของการบริหารจัดการภายในเพื่อคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพแทน

นอกจากนี้ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ยังมีประกาศจากกรมสรรพสามิตอีกฉบับที่จะมีผลบังคับใช้ เกี่ยวกับเงื่อนไขในการเสียภาษีของน้ำผลไม้ ซึ่งจะกระทบกับกลุ่มของฟังก์ชั่นนอลดริงก์ที่ใช้น้ำผลไม้เป็นวัตถุดิบหลักอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เดิมทีฟังก์ชั่นนอลดริงก์ใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขการยกเว้นภาษีน้ำผลไม้ เช่น กฎหมายกำหนดให้เครื่องดื่มที่มีน้ำผลไม้เกิน 10% ไม่ต้องเสียภาษีในขามูลค่า หากไปพลิกข้างขวดดูก็จะพบว่าฟังก์ชั่นนอลดริงก์หลายตัวมีเบสเป็นน้ำองุ่นขาว จึงไม่ต้องเสียภาษีชนิดนี้ แต่เงื่อนไขใหม่ได้กำหนดให้น้ำพืชผักผลไม้ที่ได้รับการยกเว้นต้องมีสัดส่วนตามที่กำหนด และจะไม่รวมถึงน้ำพืชผักผลไม้ที่เติมสารอาหารอื่น หรือวิตามินอื่นที่ไม่ได้มาจากที่ผลไม้หรือผักชนิดนั้นมีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น หากจะเพิ่มสัดส่วนน้ำองุ่นขาวตามที่กำหนดแล้ว แต่มีคอลลาเจนเพิ่ม มีไฟเบอร์เพิ่ม ก็ไม่เข้าเงื่อนไขการยกเว้นภาษี”

ส่งผลให้ผู้ประกอบการอาจจะต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นเกือบ 20% เพราะนอกจากภาษี 10% แล้วผู้ประกอบการยังต้องคำนวณต้นทุนมาร์จิ้นของร้านค้าในแต่ละช่องทางให้ครอบคลุมราคาขายปลีก เช่นเดียวกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับกลุ่มชาพร้อมดื่มที่ต้องปรับราคาขึ้น เฉลี่ยขวดละ 5 บาท เมื่อประมาณ 1-2 ปีที่แล้ว

จับตาน้ำผลไม้-ชูกำลัง

แหล่งข่าวดังกล่าวยังระบุต่อไปอีกด้วยว่า เครื่องดื่มแคทิกอรี่อื่นที่มีปริมาณความหวานสูง ก็อาจต้องปรับราคาขึ้นเพื่อรับกับโครงสร้างภาษีรอบใหม่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้กลุ่มซูเปอร์อีโคโนมีที่มีสัดส่วนน้ำผลไม้ 10% ที่จะต้องเพิ่มสัดส่วนเป็น 20% ถึงจะได้รับการยกเว้นตามเงื่อนไขใหม่ และยังต้องเสียภาษีความหวาน หากมีปริมาณความหวานเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือมากกว่า 6 กรัม/100 มิลลิลิตร

ขณะเดียวกัน เครื่องดื่มชูกำลังก็เป็นกลุ่มที่มีปริมาณความหวานสูง มีเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงตามไปด้วย และปรับสูตรได้ยากเนื่องจากต้องใช้ความหวานจากน้ำตาลเพื่อให้พลังงาน หากเปลี่ยนไปใช้สารให้ความหวานอย่างอื่นก็จะไม่ได้คุณสมบัติดังกล่าว และเครื่องดื่มประเภทนี้มีฐานลูกค้าหลักเป็นตลาดแมสที่อ่อนไหวกับราคา ดังนั้น หากค่ายใดปรับราคาขึ้นก่อนก็จะได้รับผลกระทบจากยอดขาย และเสียมาร์เก็ตแชร์ให้กับคู่แข่งได้