อมอร์ฯชักธงรบบิวตี้อาเซียน ปักหมุดเมืองรอง/ปลุกแคทิกอรี่แฮร์แคร์

ยักษ์ใหญ่เครื่องสำอางเกาหลี “อมอร์แปซิฟิค” จัดทัพบุกไทย-อาเซียน ชู 3 กลยุทธ์หลัก เจาะเมืองรอง-เพิ่มแบรนด์พอร์ตโฟลิโอ-รุกหนักดิจิทัล หวังมัดใจกลุ่มมิลเลนเนียล/ขยายฐานลูกค้าแมส หลังเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Mise-en-scene ชิงตลาดแฮร์แคร์ในไทยปีหน้า

เครื่องสำอางเกาหลียังคงเป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญที่คนไทยรวมถึงคอนซูเมอร์ในอาเซียนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง และด้วยการเติบโตที่น่าจับตานี้ ทำให้ผู้เล่นรายใหญ่ในภูมิภาคอย่าง “อมอร์แปซิฟิค” เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง อีทูดี้, ลาเนจ, โซลวาซู ฯลฯ ได้เข้ามาทำตลาดแบบเชิงรุกมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในการรองรับศักยภาพและโอกาสที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

เจาะเมืองรองอาเซียน

นายโรบิน นา หัวหน้าฝ่ายธุรกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อมอร์แปซิฟิค เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจของบริษัทในภูมิภาคอาเซียนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการนำเสนอแบรนด์ โปรดักต์ และโปรโมชั่น ที่สามารถตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบความหลากหลายของสินค้า การนำเสนอนวัตกรรมที่ผู้บริโภคมองหา

ตลอดจนแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดความงามในภูมิภาค ทำให้บริษัทได้กำหนดเป้าหมายในช่วง 4 ปีต่อจากนี้ หรือภายในปี 2566 ว่า ตลาดอาเซียนจะสามารถสร้างยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านวอน ทำให้บริษัทต้องโฟกัสกลยุทธ์ทั้งหมด 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ 1.การขยายธุรกิจไปยังเมืองรอง หลังจากปัจจุบันที่แบรนด์ต่าง ๆ ได้เข้าไปทำตลาดในเมืองหลัก (megacity) ของแต่ละประเทศได้อย่างครอบคลุมแล้ว เป้าหมายต่อไปจึงเป็นการปักหมุดในเมืองที่เป็นเทียร์ 2 หรือเทียร์ 3 มากขึ้น เพื่อขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เสริมกับกลุ่มลูกค้าที่มีอยู่เดิม เช่น เชียงใหม่ และพัทยาในไทย ปีนัง ในมาเลเซีย ซูราบายา และเมดัน ในอินโดนีเซีย เป็นต้น

2.การขยายแบรนด์พอร์ตโฟลิโอ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ๆ มากขึ้น รับกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มแฮร์แคร์ ที่จะมีบทบาทสำคัญต่อจากนี้ เสริมกับกลุ่มสกินแคร์ และเมกอัพ ที่เป็นแคทิกอรี่หลัก ซึ่งมีความแข็งแรงและฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นแล้ว เช่น แบรนด์ Ryo และ Mise-en-scene ที่เตรียมจะเปิดตัวในหลาย ๆ ประเทศในเร็ว ๆ นี้

ชูดิจิทัล มัดใจมิลเลนเนียล

3.การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียล ที่เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการจับจ่ายได้ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการเข้าสู่ยุคดิจิทัล ที่พลิกโฉมการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ทำให้บริษัทต้องโฟกัสกับช่องทางดิจิทัล ตลอดจนร้านมัลติแบรนด์ ซึ่งเป็นช่องทางที่ผู้บริโภครุ่นใหม่กำลังให้ความนิยมมากขึ้น เช่น การผนึกกับลาซาด้า กรุ๊ป ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อนำแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท อาทิ ลาเนจ มามอนด์ อินนิสฟรี อีทูดี เฮาส์ และโซลวาซู จัดตั้งหน้าร้านออนไลน์ในแพลตฟอร์มดังกล่าวให้ครอบคลุมเอเชีย-แปซิฟิก

“เรามีประสบการณ์และความเข้าใจธุรกิจในอาเซียนมายาวนาน เข้าใจลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ทำให้เรายังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้าและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้นให้กับผู้บริโภค ตลอดจนการขยายไปยังประเทศใหม่ ๆ และเมืองใหม่ ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านนวัตกรรมความงามได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายในดิจิทัล และในอนาคตจะมีการผสมผสานหน้าร้านใหม่ ที่รวมการขายสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ไว้ด้วยกัน”

เติมหน้าแบรนด์ใหม่ในไทย

สำหรับภาพรวมของธุรกิจในประเทศไทย ที่เป็นหนึ่งในตลาดหลักของบริษัท และมีขนาดของตลาดเครื่องสำอางใหญ่ที่สุดในอาเซียน ทำให้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่องทางของการขายใหม่ ๆ และการนำแบรนด์ใหม่ สินค้าใหม่ ๆ เข้ามานำเสนอให้กับผู้บริโภคมากขึ้น สอดคล้องไปกับกลยุทธ์หลักของภูมิภาค

นายวุง ซอย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมอร์แปซิฟิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแผนการดำเนินงาน และกลยุทธ์ของธุรกิจในไทยเสริมว่า ในปีหน้าบริษัทเตรียมจะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 1 แบรนด์ คือ Mise-en-scene ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม อาทิ แชมพู ครีมนวด เซรั่มบำรุงผม ผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผม ครีมย้อมสีผม ฯลฯ โดยจะเข้าไปอยู่ในแฮร์แคร์ เซ็กเมนต์พรีเมี่ยม ซึ่งผู้บริโภคจะให้ความสนใจเกี่ยวกับคุณภาพสินค้า มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว และจะทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มที่แมสขึ้น ตลอดจนเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคได้ นอกเหนือจากสินค้าประเภทเครื่องสำอางและความงาม

ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า เทรนด์ของการช็อปปิ้งเครื่องสำอางในช่องทางรีเทลได้เปลี่ยนไป โดยคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับร้านค้าประเภทมัลติแบรนด์มากขึ้น บริษัทจึงมีแผนจะโฟกัสการเปิดจุดขายใหม่ ๆ ของแต่ละแบรนด์ ในร้านมัลติแบรนด์ เช่น อีฟแอนด์บอย ฯลฯ ในแต่ละสาขาเพิ่มเติม หรือนำสินค้าที่เหมาะสมกับช่องทางดังกล่าวเข้าไปเติมมากขึ้น

“แม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับประเทศไทย จากสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม และภาคของการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง แต่เรายังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการปรับตัวและเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนกิจกรรมส่งเสริมการตลาด และการสื่อสารที่สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ทำให้แบรนด์ไม่หยุดนิ่ง นอกจากนี้ ในช่วงโค้งท้ายของปียังได้เตรียมกิฟต์เซตของแต่ละแบรนด์เอาไว้เพื่อรองรับหน้าขายนี้ด้วย” นายวุง ซอยกล่าว