“เอสิคซ์” ตั้งเป้าท็อป 3 ชูไทยคีย์มาร์เก็ตอาเซียน

จากเทรนด์สุขภาพและสปอร์ตแฟชั่นที่มาแรง ส่งผลให้สินค้ากีฬา รวมถึงรองเท้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด “ยาสุฮิโตะ ฮิโรตะ” ประธานบริหารและประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอสิคซ์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ผู้ผลิตสินค้ากีฬาแบรนด์เอสิคซ์ (Asics) และโอนิซึกะ ไทเกอร์ (Onitsuka Tiger) บินตรงสู่เมืองไทย เพื่อเปิดตัวรองเท้ารุ่น GLIDERIDE พร้อมกับให้สัมภาษณ์ กล่าวถึงตลาดสินค้าวิ่งและแผนการทำตลาดในประเทศไทยและอาเซียน ดังนี้

ประธานบริษัทระบุว่า ปัจจุบันสินค้ากีฬาในอาเซียนเติบโตเร็วมาก โดยเฉพาะไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยยอดขายใน 3 ประเทศ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เติบโตระดับ 2 ดิจิตทุกปี และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตในอัตรานี้ไปได้อีกอย่างน้อย 5 ปี จนปัจจุบันภูมิภาคนี้มีสัดส่วนรายได้ 5% ของรายได้รวมทั่วโลก 4 ล้านล้านเยน

บริษัทจึงอาศัยจังหวะจากกระแสการเติบโตนี้ ตั้งเป้าผลักดันรายได้จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเท่าตัว จาก 5% เป็น 10% ซึ่งเทียบเท่ากับรายได้จากประเทศจีนภายใน 5 ปี

เขาย้ำว่า โดยเฉพาะประเทศไทยนั้นถือเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของแผนนี้ เนื่องจากไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง จากกระแสสุขภาพและเทรนด์สปอร์ตแฟชั่นที่เป็นปัจจัยบวกหลัก สะท้อนจากจำนวนนักวิ่งในสถานที่ต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นตลอดตั้งแต่ 5 ปีก่อน และรายได้ที่เติบโตระดับ 2 ดิจิต 3 ปีซ้อน รวมถึงเทรนด์อีคอมเมิร์ซที่กำลังขยายตัวต่อเนื่องรวดเร็ว

เนื่องจากเอสิคซ์ ยังถือเป็นผู้เล่นหน้าใหม่และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในช่วงเริ่มต้น จึงยังมีโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาดได้อีกมาก โดยปัจจุบัน เอสิคซ์ติดอยู่ในท็อป 5 ของแบรนด์รองเท้าวิ่ง ที่ประกอบด้วย ไนกี้ อาดิดาส พูม่า มิซูโน่ และเอสิคซ์ บริษัทตั้งเป้าขึ้นเป็นแบรนด์รองเท้าวิ่งอันดับ 3 ของไทยใน 3-5 ปี

ประธานบริษัทเอสิคซ์ให้รายละเอียดเพิ่มว่า เพื่อไปให้ถึงเป้าที่วางไว้และรับมือการแข่งขันของตลาดนี้ บริษัทจะเร่งเครื่องการทำตลาดให้เข้มข้นยิ่งขึ้นทั้งแบรนด์เอสิคซ์ และโอนิซึกะ ไทเกอร์ โดยในส่วนของเอสิคซ์จะโฟกัสด้านเทคโนโลยีรองรับแรงกระแทกและความง่ายในการเข้าถึงสินค้า ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยแข่งขันหลักของตลาดรองเท้าวิ่ง ส่วนโอนิซึกะ ไทเกอร์ จะเน้นเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้ครบวงจร

ขณะเดียวกันก็จะเร่งการขยายสาขาร้านแบรนด์ช็อปเอสิคซ์ ตามเป้าเพิ่มสาขาอีกเท่าตัวจาก 8 สาขาเป็น 16 สาขา ใน 3-5 ปี เริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้จะเปิด 2 สาขา ก่อนเปิดเพิ่มอีกอย่างน้อย 3-4 สาขาในปี 2563 ด้วยเม็ดเงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาทต่อสาขา

พร้อมกันนี้จะรับเทรนด์อีคอมเมิร์ซ ด้วยกลยุทธ์ออนไลน์ทูออฟไลน์ หรือโอทูโอ (O2O) เน้นเพิ่มความสะดวกในการช็อปทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ประเดิมด้วยบริการคลิกแอนด์คอลเล็กต์ ที่จะเริ่มให้บริการในปีหน้า โดยลูกค้าสามารถสั่งสินค้าบนออนไลน์แล้วไปรับที่สาขา หรือซื้อที่สาขาแล้วให้ส่งไปที่บ้านก็ได้ เป็นต้น โดยจะใช้บริการได้ทั้งสาขาของบริษัทและร้านค้าของดีลเลอร์ เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มการเข้าถึงสินค้าเสริมกับช่องทางอีคอมเมิร์ซที่เปิดไปเมื่อต้นปี

“อีคอมเมิร์ซเป็นช่องทางที่สำคัญมาก โดยปัจจุบันในจีนมียอดขายจากช่องทางนี้สูงถึง 40%”

เช่นเดียวกับการทำตลาดจะโฟกัสจุดขายด้านเทคโนโลยีรองรับแรงกระแทก โดย “ยาสุฮิโตะ” อธิบายว่า เป็นปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคชาวไทยใช้ในการเลือกซื้อรองเท้าวิ่ง โดยจะชูเทคโนโลยี GUIDESOLE ลดแรงกระแทกและการสูญเสียพลังงานขณะวิ่ง ช่วยให้สามารถวิ่งได้นานและไกลขึ้น พร้อมทั้งใส่เทคโนโลยีนี้ในสินค้าหลากหลายรุ่นและระดับราคา จากเดิมที่มีเฉพาะในรุ่นท็อป อย่างรุ่น METARIDE ราคา 9,900 บาท เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

เริ่มจากลอนช์รองเท้ารุ่น GLIDERIDE ราคา 5,900 บาท ในเดือนตุลาคมนี้ ตามด้วยรุ่น EVORIDE ในปี 2563 พร้อมสร้างการรับรู้ด้วยแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ “เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์” และ “ณัฐ ศักดาทร” นักร้อง-นักแสดง ซึ่งต่างมีภาพลักษณ์ที่ดีในด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย และในช่วงมีนาคมปีหน้าจะลอนช์รองเท้าคอลเล็กชั่นพิเศษ “เจแปน คอลเล็กชั่น” สำหรับโอลิมปิก 2020 ที่บริษัทเป็นสปอนเซอร์อยู่ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างและเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์

พร้อมกันนี้ เขายังกล่าวถึงรองเท้าแบรนด์ “โอนิซึกะ ไทเกอร์” อีกแบรนด์หนึ่งในพอร์ตโฟลิโอที่คนไทยชื่นชอบอีกว่า ที่ผ่านมาโอนิซึกะฯได้รับการตอบรับที่ดีในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไทย ที่มีสัดส่วนของยอดขายแบรนด์นี้ถึง 50% เทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกที่มีสัดส่วนยอดขายเพียง 10% หลังจากนี้จึงจะมุ่งจับตลาดสปอร์ตแฟชั่นเป็นหลัก โดยนอกจากขยายสาขาเพิ่มแล้ว ยังจะเพิ่มไลน์อัพเสื้อผ้าและแอ็กเซสซอรี่ให้มีสัดส่วน 50% ของไลน์อัพสินค้าทั้งหมด จากปัจจุบันที่ส่วนใหญ่เป็นรองเท้า เพื่อให้สามารถรับดีมานด์ลูกค้าได้แบบครบวงจรในที่เดียว

ทั้งหมดนี้คือแนวทางการรุกตลาดของรองเท้าแบรนด์ดังจากญูี่ปุ่นในไทย เป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้และมาร์เก็ตแชร์จากตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง