เซ็นทรัลวิลเลจผนึกมิตซูบิชิ ผุดเฟส2ดึง30แบรนด์ดังจับนักช็อป

ซีพีเอ็นผนึก “มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย” ถือหุ้น 30% “เซ็นทรัล วิลเลจ” เดินหน้าเฟส 2 เร่งพัฒนาพื้นที่ที่เหลือ พร้อมดึงแบรนด์ดังทั่วโลกกว่า 30 แบรนด์ หวังขึ้นแท่นเป็นเอาต์เลตเบอร์หนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายปรีชา เอกคุณากุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่า จากนี้ไปยุทธศาสตร์การเติบโตของซีพีเอ็นหลัก ๆ คือ การขยายธุรกิจในรูปแบบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ การพัฒนาศูนย์การค้าใหม่ ควบคู่กับการศึกษาธุรกิจในรูปแบบอื่นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดร่วมมือกับบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย จำกัด เพื่อเซ็นสัญญาเข้าถือหุ้นในโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ในสัดส่วน 30% และซีพีเอ็น 70%

ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอสเตทฯจะเข้ามาช่วยเสริมทัพให้แก่ซีพีเอ็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การนำเอาโนว์ฮาวจากประสบการณ์ของมิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย เข้ามาร่วมพัฒนาการบริหารงาน ในส่วนระบบโอเปอเรชั่นต่าง ๆ ตามด้วยการดึงแบรนด์ชั้นนำระดับโลก รวมถึงแบรนด์ญี่ปุ่นที่เป็นที่นิยมของคนไทยเข้ามาเปิดในเซ็นทรัลวิลเลจ และสุดท้ายจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายของนักท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนภายในประเทศไทยกว่า 1,000 ล้านบาท และจะส่งผลให้ “เซ็นทรัล วิลเลจ” ขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้

นายปรีชาระบุด้วยว่า สำหรับโครงการ “เซ็นทรัล วิลเลจ” เป็นลักเซอรี่เอาต์เลตขนาด 40,000 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Bangkok Luxury Outlet” โดยเฟสแรกได้ดึงแบรนด์ดัง อาทิ Coach, Club21, Ermenegildo Zegna, Kate Spade New York, Kenzo, MAX&Co., Michael Kors, Polo Ralph Lauren, Salvatore Ferragamo เป็นต้น เข้ามาเปิดแล้ว สำหรับเฟส 2 ที่มีพื้นที่เหลือประมาณ 30% มิตซูบิชิฯจะเข้ามาช่วยออกแบบ และดีไซน์เลย์เอาต์พื้นที่ในแต่ละส่วน รวมถึงจะเพิ่มแบรนด์ใหม่ ๆ ทั้งแบรนด์ในและต่างประเทศเพิ่มอีก 30 แบรนด์ เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมาย ปัจจุบันยอดใช้จ่ายต่อบิลเฉลี่ย 12,000 บาท โดยแบ่งสัดส่วนเป็นคนไทย 65% และต่างชาติ 35% และอนาคตตั้งเป้าหมายว่าจะปรับสัดส่วนลูกค้าเป็นคนไทย 50% และต่างชาติ 50%

ขณะที่ นายยูทาโร โยซุซูกะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นจุดศูนย์กลางของการท่องเที่ยว โดยตัวเลขการท่องเที่ยวเป็นเบอร์หนึ่งของภูมิภาคอาเซียน คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2562 จะเติบโตได้ประมาณ 4% ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสลงทุนร่วมกัน ในโครงการ “เซ็นทรัล วิลเลจ” ถือเป็นครั้งแรกที่เข้ามารุกธุรกิจเอาท์เลตในไทย และในอนาคตยังพร้อมร่วมทุนกับซีพีเอ็นพัฒนาโครงการออฟฟิศบิลดิ้ง และช็อปปิ้งมอลล์ โดยมิตซูบิชิ เอสเตท มีบริษัทในเครือเป็นผู้พัฒนาเอาต์เลตในประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 9 แห่ง