สะท้านวงการค้าปลีกไทย ‘เทสโก้’ เปิดดีลขาย 2.73 แสนล้าน

“เทสโก้” (Tesco) เชนค้าปลีกรายใหญ่จากประเทศอังกฤษ กลับมาเป็นจุดสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง ยักษ์ค้าปลีกออกแถลงการณ์ระบุว่า กำลังพิจารณาขายธุรกิจในไทยและมาเลเซีย หลังจากได้รับข้อเสนอซื้อกิจการในแต่ละประเทศ พร้อมย้ำว่าแผนนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ไม่สามารถให้รายละเอียดที่มากกว่านี้ได้ และไม่ยืนยันว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดการขายกิจการหรือไม่

แม้เทสโก้จะปฏิเสธการให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่สื่อทั้งในไทยและต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวภายในบริษัท ระบุว่า ดีลนี้อาจมีมูลค่าสูงถึง 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2.73 แสนล้านบาท สูงกว่ามูลค่าธุรกิจเกาหลีใต้ที่บริษัทขายไปเมื่อปี 2558

โดยบรรดานักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินหลายแห่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ธุรกิจเทสโก้ในอาเซียนโดยเฉพาะไทยมีศักยภาพสูง ด้วยอัตรากำไรถึง 6% มากเป็น 2 เท่าของธุรกิจในอังกฤษ และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงมีทรัพย์สินเป็นสาขาจำนวนมาก สอดคล้องกับข้อมูลว่า เทสโก้มีสาขาในไทยทั้งหมด 1,967 สาขา พร้อมแผนขยายอีก 750 สาขา ส่วนในมาเลเซียมี 74 สาขา โดยช่วง 6 เดือนที่ผ่านมากิจการทั้งสองประเทศมีรายได้รวมกันกว่า 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9.9 หมื่นล้านบาท เติบโต 1% และมีกำไรจากการดำเนินการ 224 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6.7 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 42%

ทั้งนี้ “เทสโก้” เป็นหนึ่งในเชนค้าปลีกรายใหญ่ของอังกฤษ ก่อตั้งโดย “แจ็ก โคเฮน” ในปี 1919 หรือ พ.ศ. 2462 และขยายสาขาไปใน 11 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเทสโก้เข้ามาซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่นซิสเทม จำกัด ผู้บริหารเชนค้าปลีก “โลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์” จากเครือ ซี.พี.เมื่อปี 2541 และเปลี่ยนชื่อเป็น “เทสโก้ โลตัส” จนปัจจุบันมีสาขาในรูปแบบต่าง ๆ รวม 1,967 สาขาทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เหตุอื้อฉาวทางบัญชีเมื่อปี 2557 ซึ่งยักษ์ค้าปลีกถูกจับได้ว่าแจ้งตัวเลขกำไรเกินความเป็นจริงไปถึง 263 ล้านปอนด์ ทำให้ต้องจ่ายค่าปรับกว่า 214 ล้านปอนด์ และมูลค่าในตลาดหุ้นหายไปกว่า 50% เมื่อรวมกับแนวโน้มผลประกอบการที่ต่ำลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 หลังเผชิญการแข่งขันดุเดือดทั้งในอังกฤษและต่างประเทศ

ส่งผลให้เทสโก้ภายใต้การบริหารของ “เดฟ ลูอิส” ผู้บริหารจากยูนิลีเวอร์ เริ่มเดินแผนปรับโครงสร้างธุรกิจขนานใหญ่ทั้งด้านการบริหาร การเงิน รวมถึงการหันโฟกัสธุรกิจในอังกฤษมากยิ่งขึ้น ทำให้ยักษ์ค้าปลีกทยอยขายกิจการในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น เกาหลีใต้ ในปี 2558 มูลค่าประมาณ 6.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยตุรกี ในปี 2559 มูลค่าประมาณ 43 ล้านเหรียญสหรัฐ และช่วงเดือน ก.ย.ปีนี้มีข่าวว่ากำลังพิจารณาขายกิจการในประเทศโปแลนด์ ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหญ่สุดของเทสโก้ในย่านยุโรปกลางด้วยจำนวนสาขาถึง 348 สาขา แต่กำลังขาดทุน 11 ล้านปอนด์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ขายธุรกิจในฝรั่งเศส สหรัฐ จีน และญี่ปุ่นไปก่อนแล้ว


หลังจากนี้ จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า เทสโก้จะตัดสินใจขายธุรกิจในไทยและมาเลเซียหรือไม่ และขายให้กับใครกันแน่ ?