“ไฮเออร์” ระดมสมาร์ทโฮมปลุกตลาด-เจาะลูกค้าองค์กร

“ไฮเออร์” ขยายแนวรบสู้เศรษฐกิจขาลงปีหน้า ขนทัพสินค้าใหม่กว่า 170 รายการ เน้นระดับกลาง-ไฮเอนด์ พร้อมจุดขายทั้งไอโอที-สุขภาพ หวังตอบโจทย์ผู้บริโภค ฝั่งลูกค้าองค์กรเปิดโมเดลให้เช่าเครื่องใช้ไฟฟ้ารับดีมานด์คอนโดฯ-อพาร์ตเมนต์ พร้อมลุยประมูลโครงการรัฐ ด้านการตลาดทุ่มงบฯ 450 ล้าน ดันโฆษณาทีวี สื่อนอกบ้าน ขยายสาขาแบรนด์ช็อป 2 เท่า หวังขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2565

นายจาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2563 ที่จะถึงนี้ มีแนวโน้มเติบโตเพียง 3-4% เป็น 9.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจไทยและโลกยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว ส่งผลให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มแมสชะลอการจับจ่าย และเลือกซื้อเฉพาะสินค้าจำเป็นอย่างเครื่องปรับอากาศเพื่อรับมือเศรษฐกิจปีหน้า บริษัทจะเร่งเพิ่มไลน์อัพสินค้าระดับกลาง-ไฮเอนด์ให้มากขึ้น เพิ่มจุดขายด้านนวัตกรรมอย่างแพลตฟอร์มสมาร์ทโฮม-ไอโอที ร่วมกับการประหยัดพลังงานและสุขภาพ พร้อมขยายโมเดลธุรกิจ B2B ให้หลากหลายขึ้น เพื่อเพิ่มแหล่งรายได้ เช่นเดียวกับการขยายสาขาแบรนด์ช็อปและอัพเกรดพื้นที่ขายในร้านดีลเลอร์

โดยในทัพสินค้าที่จะเปิดตัวใหม่อีกกว่า 170 เอสเคยู จะเป็นระดับกลาง-ไฮเอนด์ถึง 70% มีไฮไลต์เป็นฟังก์ชั่นไอโอที หรือการเชื่อมต่อแอป เพื่อตรวจสอบการทำงานและสั่งการ รวมไปถึงใช้บริการหลังการขาย ซึ่งจะเริ่มเปิดตัวแอปในเดือน ม.ค. 2563 ร่วมกับการประหยัดพลังงานและสุขภาพ เช่น ระบบอินเวอร์เตอร์และฟอกอากาศ PM 0.3 ในแอร์ รวมถึงไซซ์ที่หลากหลาย อย่างแอร์ขนาด 1.5 หมื่นบีทียู เครื่องซักผ้าฝาหน้าขนาดซัก 15 กก. และอบ 10 กก.เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการขาย

ด้านลูกค้าองค์กร-งานโครงการ เตรียมนำโมเดลให้เช่าเครื่องปรับอากาศเข้ามาให้บริการ มุ่งเจาะกลุ่มหอพัก-อพาร์ตเมนต์ระดับแมส-กลางที่มักมีงบฯไม่สูง แต่ต้องการเสริมจุดขายให้ครบ โดยบริษัทจะเป็นผู้ลงทุนติดตั้งแอร์และดูแลหลังการขาย ส่วนผู้เช่าห้องจะจ่ายค่าใช้งานเป็นรายชั่วโมงผ่านแอป และการเปิดร้านซักผ้าหยอดเหรียญ 24 ชั่วโมง แบรนด์ Smart Plus ที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 30 สาขา ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2-3

เช่นเดียวกับการมุ่งประมูลสิทธิ์เป็นผู้จัดหาเครื่องใช้ไฟฟ้าในโครงการของรัฐ เช่น บ้านประชารัฐ หลังจากได้สัญญาเฟส 1 ซึ่งจะเริ่มติดตั้งแอร์ในปีหน้า ก่อนชิงสิทธิ์ในเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ อาทิ ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า และเครื่องทำน้ำอุ่น พร้อมกับเพิ่มงบฯการตลาดขึ้นจากปี 2562 อีก 3 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 450 ล้านบาท เพื่อขยายช่องทางสื่อสาร เช่น เพิ่มโฆษณาทีวีสำหรับตู้เย็น เพิ่มสื่อนอกบ้านทั้งบิลบอร์ด รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน รวมถึงขยายสาขาแบรนด์ช็อปเพิ่มอีก 8-10 แห่ง จากปัจจุบันมี 5 แห่ง เปิดโซนสินค้าไฮเออร์ในร้านค้าอีกกว่า 130 แห่ง เพิ่มจำนวนพนักงานขาย และต่อสัญญาแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” เป็นปีที่ 3

“การแข่งขันราคายังมีแนวโน้มดุเดือดขึ้น นอกจากการขยับขึ้นเซ็กเมนต์กลาง-ไฮเอนด์แล้ว ยังต้องเพิ่มโอกาสขายด้วยการอัพเกรดพื้นที่ขายและพนักงาน ให้สามารถดึงดูดความสนใจผู้บริโภคและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ดีขึ้น”

ทั้งนี้มั่นใจว่าจะสามารถรับมือกับสภาพตลาด เพิ่มรายได้และส่วนแบ่งการตลาดในสินค้ากลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าหลักอย่างตู้เย็น ซึ่งจะขยับจากอันดับ 7 เป็น 6 เครื่องซักผ้าขยับจากอันดับ 7 เป็น 5 ส่วนแอร์จะลดช่องว่างกับอันดับ 2 เพื่อไต่จากแบรนด์อันดับ 6 ขึ้นเป็นผู้นำในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในปี 2565 ตามเป้าที่วางไว้ หลังจากปี 2563 ปิดยอดขายได้ที่ 4,775 ล้านบาท เติบโต 42%