เครื่องใช้ไฟฟ้าย้ายสมรภูมิรบ ประมูลงานรัฐ/B2Bรุกไฮเอนด์ดันรายได้

ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปี”63 ยังท้าทาย พิษเศรษฐกิจชะลอตัวทุบกำลังซื้อซึมยาว คาดตลาดรวมโต 3-4% เบนเข็มย้ายสมรภูมิรบ มุ่งเจาะตลาดเชิงพาณิชย์-กลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ “ไฮเออร์” เดินหน้าลุยประมูลโครงการงานภาครัฐ เอกชน พร้อมผุดโมเดลธุรกิจใหม่ ให้เช่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบรายชั่วโมงเจาะผู้ประกอบการหอพัก-อพาร์ตเมนต์ “ซัมซุง” ส่งจอภาพยักษ์ 200 นิ้ว รุกอสังหาฯซูเปอร์ลักเซอรี่ ส่วน “แอลจี” ยกทัพเครื่องฟอกอากาศลุยสำนักงาน-โรงพยาบาล ฝั่ง “ไดกิ้น” โอ่นวัตกรรมใหม่ช่วยแอร์พาณิชย์คืนทุนไว


นายจาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉายภาพตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปี 2563 ว่า ผลจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า รวมถึงเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวต่อเนื่องและส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภคและชะลอการจับจ่าย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี” 63 มีอัตราการเติบโตเพียง 3-4% ใกล้เคียงกับตัวเลขของปี 2562 ที่เพิ่งจบลงไป หรือมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 9.7-9.8 หมื่นล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าประมาณ 9.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม สินค้าที่จะเป็นหัวหอกในการสร้างการเติบโตให้กับตลาดหลัก ๆ จะมาจากเครื่องปรับอากาศ และคาดว่าจะเติบโตประมาณ 15% จากปีที่ผ่านมาที่เติบโตถึง 25-30% เพราะอากาศร้อนจัด

เจาะลูกค้าไฮเอนด์-บีทูบี

ประธานบริษัท ไฮเออร์ฯยังกล่าวด้วยว่า จากปัญหากำลังซื้อผู้บริโภคที่ไม่ดีนัก ทำให้ตอนนี้ผู้ประกอบการหลายรายได้เริ่มหันไปให้น้ำหนักการทำตลาดในกลุ่มสินค้าเซ็กเมนต์ไฮเอนด์ และงานโครงการของทั้งภาครัฐและเอกชน หรือบีทูบี เนื่องจากกลุ่มลูกค้าระดับบนหรือกลุ่มไฮเอนด์ยังคงมีกำลังซื้อและพร้อมจับจ่ายหากสินค้าตอบโจทย์ความต้องการ เป็นการทดแทนกลุ่ม

ผู้บริโภคทั่วไปที่ถูกผลกระทบจากเศรษฐกิจ ส่วนภาครัฐยังมีโครงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานอย่างบ้านประชารัฐ รถไฟฟ้าความเร็วสูง เป็นต้น

ประธานบริษัทไฮเออร์ฯยังกล่าวด้วยว่า สำหรับ “ไฮเออร์” กลยุทธ์หลักจากนี้ไปก็จะมุ่งโฟกัสลูกค้าองค์กรมากขึ้นเช่นกัน รวมถึงสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ เพื่อเสริมแผนการมุ่งสู่แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเอนด์ที่ดำเนินมาต่อเนื่อง โดยปี 2563 จะเพิ่มสินค้าสำหรับลูกค้าบีทูบีมากขึ้น พร้อมกับเดินหน้าประมูลงานจากโปรเจ็ก์ต่าง ๆ เช่น บ้านประชารัฐ หลังจากปัจจุบันได้สิทธิ์ติดตั้งแอร์สำหรับเฟสแรกแล้ว

“พร้อมกันนี้ยังทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เช่น บริการให้เช่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบรายชั่วโมง มุ่งเจาะผู้ประกอบการหอพัก-อพาร์ตเมนต์ระดับแมส ที่ต้องการอัพเกรดห้องพักโดยไม่ต้องลงทุนสูง รวมถึงธุรกิจร้านซักผ้าหยอดเหรียญสมาร์ทพลัส ที่จะเริ่มขยายสาขาในช่วงไตรมาส 2-3”

นายเฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ รองประธาน ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า ปี 2563 นี้จะเพิ่มความเข้มข้นในเซ็กเมนต์บีทูบีและไฮเอนด์เช่นกัน หลังเศรษฐกิจทำให้ปี 2562 ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าชะลอตัวลงมาก ส่งผลให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (HA) ในครึ่งปีหลังเติบโตน้อยกว่า 6 เดือนแรกอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่สินค้ากลุ่มไฮเอนด์ยังคงเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนจากการขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยระดับอัลตราลักเซอรี่และกลุ่มลักเซอรี่ เช่นเดียวกับกลุ่มจอภาพเพื่อการพาณิชย์อย่างจอโฆษณาหรือทีวีสำหรับโรงแรม ที่เติบโตแบบดับเบิลดิจิตต่อเนื่อง 5 ปี จนมีมูลค่าประมาณ 6,400 ล้านบาท จากกระแสการเปลี่ยนมาใช้จอโฆษณาแบบดิจิทัล

นายเฉลิมพงษ์ย้ำว่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 ที่ผ่านมา ซัมซุงได้เริ่มรุกจับผู้บริโภคระดับไฮเอนด์และซูเปอร์ไฮเอนด์ ด้วยการเข้าไปตอบโจทย์ด้านความบันเทิงอย่างโฮมเธียเตอร์ ที่เดิมต้องใช้เครื่องโปรเจ็กเตอร์เพื่อให้ได้ภาพขนาด 100-150 นิ้ว แต่จะมีปัญหาเรื่องการควบคุมแสงรบกวนทำให้มีข้อจำกัดด้านสถานที่ติดตั้ง บริษัทจึงเปิดตัว “เดอะ วอลล์ ลักชัวรี่” จอแอลอีดีความละเอียด 4K และ 8K ที่มีจุดเด่นด้านขนาดที่สามารถสั่งผลิตได้ตั้งแต่ 73 นิ้วไปจนถึงมากกว่า 200 นิ้ว และสามารถสู้แสงรบกวนได้ดี ทำให้ติดตั้งได้ทุกห้องในบ้าน ราคาประมาณ 11.9-13.9 ล้านบาท พร้อมจับมือกับพันธมิตรอย่างเดโค 2000 บริษัทผู้ออกแบบระบบโฮมเธียเตอร์เพื่อเป็นช่องทางขาย และผู้พัฒนาอสังหาฯหลายรายเพื่อขายเข้าโครงการ

แอร์-เครื่องฟอกอากาศระอุ

นายอาคิฮิสะ โยโกยามา ผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2560 สัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้าเชิงพาณิชย์ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 3 เท่าทุกปี จนปี 2561 มีสัดส่วนสูงถึง 12,000 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2563 จะเน้นกลุ่มแอร์เชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยมีนวัตกรรมใหม่ Magnetic Bearing Chillers ประหยัดไฟมากกว่า และช่วยลดค่าบำรุงรักษาจนสามารถคืนทุนได้ใน 3-5 ปี พร้อมการรับประกันนาน 5 ปี เป็นจุดขายสำคัญ ตอบโจทย์กลุ่มอาคารขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงแรม 5 ดาว และเครือโรงพยาบาลขนาดใหญ่

ส่วนแอร์สำหรับครัวเรือนจะติดตั้งฟิลเตอร์ PM 2.5 แถมเข้าไปในเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ที่จะขายในปี 2563 เพื่อรับดีมานด์จากความตื่นตัวเรื่องฝุ่น PM 2.5 พร้อมกับฟังก์ชั่นเชื่อมต่อกับระบบสมาร์ทโฮม เชื่อว่าจะช่วยให้รักษาตำแหน่งเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่ง 28% ของมูลค่าตลาดรวม 60,000 ล้านบาทได้แน่นอน

นอกจากกลุ่มไฮเอนด์และงานโครงการแล้ว ฟังก์ชั่นสุขภาพเป็นอีกหนึ่งดีมานด์สำคัญของตลาด นายอำนาจ สิงหจันทร์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผู้บริโภคไทยยังให้ความสำคัญกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง และทำให้มีดีมาดน์เครื่องฟอกอากาศและเครื่องปรับอากาศที่มีฟังก์ชั่นการฟอกอากาศเพิ่มขึ้นตามไปด้วย สะท้อนจากการเติบโตของเซ็กเมนต์เครื่องฟอกอากาศกว่า 140% เป็น 1,700 ล้านบาท ในปี 2562 ที่ผ่านมา และคาดว่าตลาดนี้

เติบโตอย่างน้อย 50% เป็นประมาณ 2,500 ล้านบาท ในปี 2563 เทรนด์หลักคือการมีเครื่องฟอกอากาศในทุกที่ ทั้งบ้าน รถยนต์ สำนักงาน ฯลฯ

“เพื่อชิงโอกาสจากกระแสการเติบโตนี้บริษัทได้เพิ่มความหลากหลายของเครื่องฟอกอากาศ เช่น รุ่นพกพาตอบโจทย์ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก และเพิ่มฟังก์ชั่นฟอกอากาศในแอร์เชิงพาณิชย์ พร้อมจุดขายฟิลเตอร์แบบถอดล้างได้ มุ่งรองรับอาคารสำนักงาน, โรงพยาบาลและโรงเรียน นอกจากนี้ยังทุ่มงบการตลาด 100 ล้านบาท สร้างการรับรู้กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มั่นใจว่าปี 2563 จะมียอดขายเครื่องฟอกอากาศและแอร์ที่มีระบบฟอกอากาศรวมกันไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท”

นายจักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล Chief Business Officer-Specialty Business บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด แสดงความเห็นถึงทิศทางของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าว่า สินค้าสมาร์ทโฮมเป็นสินค้าอีกหมวดที่ต้องจับตามองในปี 2563 เนื่องจากความเป็นไปได้ที่ผู้ให้บริการมือถือจะเริ่มใช้เครือข่าย 5G ในวงกว้างซึ่งจะหนุนให้การใช้งานอุปกรณ์สมาร์ทโฮมและโฮมออร์โตเมชั่นให้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว

สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายค่าย ทั้ง “แอลจี” ที่ประกาศความพร้อมที่จะนำสินค้าที่สามารถรองรับ 5G เข้ามาขายได้ทันทีที่ตลาดประเทศไทยมีความพร้อม เช่นเดียวกับซัมซุง ที่ย้ำว่าจะมุ่งผลักดันสินค้า-แพลตฟอร์มสมาร์ทโฮม ตามกลยุทธ์ Connected Living ต่อเนื่อง จากที่ผ่านมาได้เริ่มทยอยสร้างการรับรู้เรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง