“เนสกาแฟ” รุกเทรนด์สุขภาพ ระดมสินค้าใหม่ฟื้นตลาด 2.1 หมื่นล้าน

กาแฟปรุงสำเร็จ 2.1 หมื่นล้าน ดีดกลับหลังเจ้าตลาด “เนสกาแฟ” ปรับทัพรอบใหญ่ งัดนวัตกรรมสินค้าตอบโจทย์ “เฮลท์เทรนด์” พร้อมสร้างแบรนด์ผ่าน “เอ็กซ์พีเรียนเชียลมาร์เก็ตติ้ง” มัดใจคนรุ่นใหม่ก่อนดันธุรกิจ 3 in 1 ในไทยขึ้นเบอร์ 1 โตแซงจีน-ฟิลิปปินส์

นางสาวนาริฐา วิบูลยเสข ผู้จัดการธุรกิจกาแฟปรุงสำเร็จ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดกาแฟปรุงสำเร็จมีการเติบโตลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบ

จากการขยายตัวของกาแฟนอกบ้าน อย่างไรก็ตาม ในปีที่แล้วตลาดเริ่มเห็นสัญญาณของการเทิร์นอะราวนด์อีกครั้ง และมีการเติบโตอยู่ที่ 2% จากการที่เนสกาแฟซึ่งเป็นผู้นำตลาดมีการออกสินค้าใหม่และทำกิจกรรมเพื่อกระตุ้นตลาดตลอดทั้งปี

โดยแผนสำหรับปีนี้ เนสกาแฟยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งด้านของการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ โดยมองว่าตลาดยังมีโอกาสจากกระแสสุขภาพและเทรนด์ที่คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าที่มีน้ำตาลน้อย หรือไม่มีน้ำตาลเลย เป็นต้น โดยจะมีสินค้าในกลุ่มนี้ออกมาทำตลาดมากขึ้น เพื่อเสริมกับโปรดักต์ที่เปิดตัวไปในช่วงก่อนหน้า เช่น เนสกาแฟ อเมริกาโน่ ซีโร่ ชูการ์, เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู น้ำตาลน้อยลง 25% รวมถึงสูตรไม่มีน้ำตาลทราย ฯลฯ

พร้อมกับแคมเปญการสื่อสารรูปแบบใหม่ ๆ ที่แตกต่างและสร้างประสบการณ์ร่วมของแบรนด์กับผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น ผ่านกลยุทธ์เอ็กซ์พีเรียนเชียลมาร์เก็ตติ้งที่นำเทคโนโลยี AR (augmented reality) จำลองภาพเสมือนจริงในรูปแบบ 3 มิติ สร้างกิมมิกในการสื่อสารเป็นภาพเคลื่อนไหวและอินเตอร์แอ็กทีฟ

โดยจะมีการต่อยอดจากการทำโปรเจ็กต์เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู อินเตอร์แอคทีฟอาร์ตสเตชั่นที่ MRT สถานีวัดมังกรผ่านแคมเปญ “ชงโชครับตรุษจีนสไตล์อินเตอร์แอคทีฟ” ให้มีจุดที่ผู้บริโภคสามารถสัมผัสประสบการณ์ดังกล่าว ในธีมของสัตว์มงคล อักษรมงคลรับตรุษจีน ผ่านแอปพลิเคชั่น recall บนสมาร์ทโฟน เพื่อสแกนตามจุดต่าง ๆ รวมถึงบรรจุภัณฑ์

ของเนสกาแฟ และแก้วกาแฟมงคลที่จัดทำขึ้นในแคมเปญนี้ทั้งหมด 8 ลวดลาย ตลอดจนการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายผ่านแคมเปญ “โชคทองสะท้านฟ้า ลุ้นรับรางวัลแก้วลายมังกรทองหนัก 100 บาท และจี้ทองคำหนัก 1 บาท ตั้งแต่ 1 มกราคม-31 มีนาคม 2563

“การปรับของเนสกาแฟในไทย ทำให้เรากลับมา turnaround ในแคทิกอรี่นี้ได้อีกครั้ง รวมถึงทำให้ธุรกิจ 3 in 1 ในไทยใหญ่เป็นอันดับ 1 แซงหน้าจีนและฟิลิปปินส์ไปในปีที่ผ่านมา และผลิตภัณฑ์อย่างอเมริกาโน่ที่สามารถชงเย็นได้เลย ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่ฝั่งไทยคิดค้นขึ้น และเป็นแนวทางปฏิบัติให้กับประเทศอื่นอย่างจีน เป็นต้น”

นางสาวนาริฐายังระบุต่อไปอีกว่า อัตราการบริโภคกาแฟของคนไทยในปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 300 แก้วต่อคนต่อปี ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น บริโภคประมาณ 400 แก้วต่อคนต่อปี หรือฝั่งยุโรปที่บริโภคประมาณ 600 แก้วต่อคนต่อปี จึงเป็นโอกาสให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมกาแฟยังมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปได้

ส่วนตลาดกาแฟปรุงสำเร็จที่มีมูลค่า 21,000 ล้านบาท สามารถแบ่งได้เป็น ตลาดกาแฟ 3 in 1 ประมาณ 77% หรือ 16,000 ล้านบาท และกาแฟแบบชง (นำไปผสมคอฟฟีเมต น้ำตาล ฯลฯ) อีก 23% หรือ 5,000 ล้านบาท โดยในปี 2563 คาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา หรือประมาณ 2%

ขณะที่ตลาดกาแฟนอกบ้านมีมูลค่าประมาณ 26,700 ล้านบาท ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจำนวนของผู้เล่น และสาขา ไม่ว่าจะเป็นเชนร้านกาแฟ เชนร้านสะดวกซื้อ ที่ยังคงทุ่มงบฯขยายสาขากันอย่างคึกคัก