“ไอแคร์” ปรับแผนรับร้านยาโต ส่ง 4 แบรนด์เจาะตลาด/ปี”64 ปักธงต่างจังหวัด

ร้านขายยา 4 หมื่นล้านคึกคัก “ไอแคร์” จัดทัพใหญ่บุก ย้ำภาพท็อปไฟฟ์ ขนร้านในเครือ 4 แบรนด์ “ไอแคร์-ฟาร์แมกซ์-ไวตามินคลับ-ซุปเปอร์ดรัก” เจาะตลาดรายเซ็กเมนต์ พร้อมขนสินค้าเพื่อสุขภาพ-อุปกรณ์เสริม รับดีมานด์สังคมสูงวัย ทั้งผนึกพันธมิตรรอบทิศ พัฒนาระบบสมาชิก ติวเข้มบุคลากร เดินหน้าขยายสาขา คิดสิ้นปีทะลุ 30 แห่ง ปีหน้าตั้งเป้าสยายปีกบุกต่างจังหวัด เล็งเข้าตลาดหุ้น

ถือเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดร้านขายยา ซึ่งวันนี้ตลาดรวมมีมูลค่าราว ๆ 4 หมื่นล้านบาท และนับวันตลาดนี้จะเติบโตมากขึ้น โดยมีปัจจัยหนุนจากการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยของสังคมไทย ซึ่งจะทำให้ความต้องการยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับผู้สูงวัยที่จะมีเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว และการแข่งขันในตลาดจะทวีความดุเดือดมากขึ้น และทำให้ “ไอแคร์ เฮลท์” 1 ใน 5 ของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดร้านขายยาต้องปรับตัวต่อเนื่องเพื่อรองรับดีมานด์ที่มากขึ้นและสร้างการเติบโตในอนาคต

ร้านยา 4 หมื่นล้านคึกคัก

นายธัชพล ชลวัฒนสกุล กรรมการบริหาร บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด ผู้บริหารร้านขายยาในเครือไอแคร์ เฮลท์ ประกอบด้วย 4 แบรนด์ คือ ไอแคร์, ฟาร์แมกซ์, ไวตามินคลับ และซุปเปอร์ดรัก เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปีนี้คาดว่าภาพรวมตลาดร้านยาจะมีทิศทางการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีตัวเลขการเติบโตเพียง 3-4% จากปี 2561 โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป คือ หันมาใส่ใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับโครงสร้างประชากรไทยที่เริ่มขยับเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยที่ตัวเลขสัดส่วนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มเป็น 17% ของประชากรทั้งประเทศในอนาคต ซึ่งจะทำให้ความต้องการยารักษาโรค ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอุปกรณ์สำหรับผู้สูงอายุก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งหมดถือเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ส่งผลให้ภาพรวมร้านขายยาที่ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น

ขณะที่สถานการณ์การแข่งขันของธุรกิจร้านขายยาก็เพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อย ๆ โดยปัจจุบันมีผู้เล่นรายใหญ่ทั้งกลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล ที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้ด้วย สำหรับเครือไอแคร์เองถือเป็น 1 ใน 5 ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดร้านขายยา เนื่องจากมีร้านขายยาอยู่ในเครือ 4 แบรนด์ รวม 25 สาขา ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีโพซิชั่นและมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจน ประกอบด้วยไอแคร์ 10 สาขา เป็นร้านขายยารูปแบบห้องแถว 1-2 คูหา เน้นเปิดตามชุมชนต่าง ๆ ตามด้วย ฟาร์แมกซ์ 10 สาขา ที่วางโพซิชันนิ่งเป็น professional pharmacy เน้นเปิดตามใจกลางเมือง อาทิ ย่านพระราม 4 คลองเตย จามจุรีสแควร์ เป็นต้น

ขณะเดียวกันก็เปิดฟาร์แมกซ์ สาขาประดิษฐ์มนูธรรม ถือเป็นโมเดลใหม่ซึ่งเป็นร้านขายยาสแตนด์อะโลน มีสินค้าที่หลากหลาย ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคเน้นความสะดวกมากขึ้น และใช้รถยนต์ในการเดินทางเพิ่มขึ้น ดังนั้นร้านขายยาก็ต้องมีพื้นที่จอดรถไว้บริการด้วย ประกอบกับผู้บริโภคย่านประดิษฐ์มนูธรรม ลูกค้าที่มาซื้อยานิยมมาเป็นครอบครัว ดังนั้นจึงมีร้านกาแฟสตาร์บัคส์ไว้บริการ เพื่อเป็นที่นั่งพัก สร้างบรรยากาศสบาย ๆ ให้แก่ผู้ใช้บริการ ซึ่งโมเดลนี้แตกต่างจากร้านขายยารายอื่น ๆ และเป็นโมเดลที่สามารถเติบได้ในอนาคต เพราะตอบโจทย์คนยุคนี้

ต่อด้วยแบรนด์ไวตามินคลับมี 4 สาขา เป็นร้านขายยารูปแบบไลฟ์สไตล์ เปิดตามห้างสรรพสินค้า เจาะคนรุ่นใหม่ และซุปเปอร์ดรัก 1 สาขา ซึ่งเป็นร้านขายยารูปแบบสแตนด์อะโลน ชูความครบของยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์

“จุดแข็งเครือไอแคร์ คือ มีหลายแบรนด์ ซึ่งแต่ละแบรนด์มีโพซิชันนิ่งชัดเจน เพราะไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มแยกย่อยมากขึ้น ดังนั้นเชื่อว่าการมีแบรนด์ย่อยก็ตอบโจทย์คนในแต่ละเจเนอเรชั่นได้ชัดเจน โดยยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ ในแต่ละร้านก็จะถูกเลือกให้เหมาะกับคนแต่ละกลุ่มด้วย อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้บริษัทจะเริ่มเน้นการสร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้แบรนด์ให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคคุ้นชินและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น”

มุ่งวางรากฐานรับการเติบโต

นายธัชพลกล่าวต่อไปว่า สำหรับทิศทางดำเนินธุรกิจจากนี้ไป จะแบ่งเป็น 3 กลยุทธ์หลัก คือ การร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้นในทุก ๆ ธุรกิจ เช่น ปลายปี 2562 ที่ผ่านมา จับมือองค์การเภสัชกรรม (GPO) โดยนำยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของจีพีโอ ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา และเวชสำอาง เข้ามาขายในร้านรวม 100 รายการ รวมถึงการเติมสินค้าภายในร้านให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น รองเท้าสุขภาพ รถเข็น เตียงสำหรับผู้ป่วย อุปกรณ์การช่วยเดินผู้สูงอายุ มีทั้งสินค้าจากในและต่างประเทศที่เป็นการนำเข้าจากญี่ปุ่น เยอรมนี เป็นต้น เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้มากขึ้น

ส่วนที่ 2 การลงทุนพัฒนาระบบการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบสมาชิก โดยปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในเรื่องของระบบดาต้า ประมาณ 5-10 ล้านบาท และทำให้ปีนี้บริษัทมีความพร้อมมากขึ้น ในการนำฐานข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อนำเสนอสินค้า บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น

นายธัชพลขยายความว่า ที่ผ่านมาบริษัทก็นำฐานข้อมูลที่ได้จากสมาชิกมาพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น รองเท้าสุขภาพ ที่นอนสุขภาพ หรือเตียงสำหรับผู้ป่วย ซึ่งมีทั้งนำเข้าจากเยอรมนี ญี่ปุ่น จีน โดยจะวางสินค้าแตกต่างกันตามแต่ละพื้นที่ เช่น รถเข็น มีราคาตั้งแต่ 2-3 พันบาทไปจนถึง 3 หมื่นบาท หรือราคาเตียงก็มีหลากหลาย โดยราคาเตียงสูงสุดก็ทะลุถึง 3 แสนบาท สุดท้าย คือ การพัฒนาบุคลากร ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของธุรกิจนี้ โดยบริษัทได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งในการพัฒนาบุคลากร ฝึกอบรมให้ความรู้เพื่อสร้างมาตรฐานด้านบริการและคุณภาพ

ตั้งเป้าปีหน้าบุกต่างจังหวัด

นายธัชพลกล่าวย้ำว่า ปัจจุบันแม้ว่าบริษัทจะได้มีการลงทุน มีการวางระบบทุกอย่างไว้ค่อนข้างพร้อมและสมบูรณ์แล้ว และจะสามารถขยายสาขาได้ทันทีที่ต้องการ แต่บริษัทมีนโยบายว่าถ้าขยายสาขาหรือเติบโตในเชิงปริมาณอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้คุณภาพ บริษัทก็จะยังไม่เปิดเพิ่ม รวมทั้งแนวทางการขยายธุรกิจด้วยการขายแฟรนไชส์ บริษัทก็อาจจะต้องยืดระยะเวลาออกไปก่อน โดยแนวทางการเปิดสาขาในช่วงจากนี้ไปหลัก ๆ ก็จะยึดแนวทางการเปิดแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น สำหรับปีนี้ก็ตั้งเป้าการลงทุนเปิดสาขาใหม่ไว้ประมาณ 4-5 สาขาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพและการให้บริการได้อย่างแท้จริง สำหรับสาขาที่จะเปิดเพิ่มหลัก ๆ ในเบื้องต้นคงโฟกัสอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯก่อน

“ในสเต็ปถัดไป ในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าจะเริ่มขยายสาขาออกไปยังต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคตะวันตก จากปัจจุบันที่ร้านต่าง ๆ ของบริษัทมีสาขากระจุกตัวอยู่เฉพาะกรุงเทพฯเท่านั้น ส่วนจะใช้แบรนด์ไหนอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับโลเกชั่นที่จะไป ขณะเดียวกันก็มีเป้าหมายในอนาคตว่ามีแผนจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย แต่ก็ยังไม่ได้รีบเร่งอะไร รอให้บริษัทมีความพร้อมก่อน”

นายธัชพลกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม จากยุทธศาสตร์และแนวทางที่วางไว้จะทำให้ปี 2563 นี้ บริษัทสามารถเติบโตได้ 20% จากปีก่อนที่มีรายได้เกือบ 900 ล้านบาท