“แม็ค” ชู “บิ๊กดาต้า” เขย่าแฟชั่น เล็งซื้อกิจการ “บิวตี้” ไทย-เทศเสริมรายได้

“แม็คกรุ๊ป” งัด “บิ๊กดาต้า” สู้ศึกแฟชั่น ดึงเทคโนโลยีวิเคราะห์พฤติกรรมเชิงลึก ผลิตสินค้า-แคมเปญโดนใจ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชน ลดต้นทุนบริหารจัดการ ก่อนผุดคอนเซ็ปต์ร้านใหม่ “ไลฟ์สไตล์สโตร์” ปรับภาพลักษณ์ทันสมัย หวังขยายฐานกลุ่มวัยรุ่น-คนเมือง เดินหน้าปั้นแพลตฟอร์ม O2O เชื่อมทุกช่องทาง กวาดรายได้จากอีคอมเมิร์ซ ก่อนผุดโมเดลหารายได้ใหม่ ทดลองให้พนักงาน 100 คนขายของออนไลน์ พร้อมให้คอมมิสชั่นจูงใจ ตั้งเป้าซื้อกิจการเพิ่ม เล็งเมกอัพ-สกินแคร์ทั้งไทยเทศ

นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท ตลอดจนการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ ตลาดค้าปลีก และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง ได้จัดทำแผนเทิร์นอะราวนด์เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารช่วง 3 ปีต่อจากนี้ (2563-2565) โดยปีแรกจะมุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับพื้นฐานธุรกิจ และยกระดับแบรนด์ของแม็คยีนส์ ผ่านการใช้ “บิ๊กดาต้า” เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก หาอินไซต์ผู้บริโภค นำมาออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ได้ตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย สอดรับเทรนด์ของตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ตลอดจนแคมเปญการตลาดที่โดนใจ ซึ่งในอนาคตแต่จะนำข้อมูลไปพัฒนาให้แต่ละสาขามีแคมเปญที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในสาขานั้น ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบซัพพลายเชน ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการสต๊อกของที่หน้าร้าน เพื่อลดต้นทุนด้านการบริหารจัดการ ไม่ให้มีสต๊อกสินค้ามากไปหรือน้อยไป หรือหากสินค้ารายการใดได้รับการตอบรับดี ก็สามารถเพิ่มกำลังผลิตได้อย่างทันท่วงที

“เราเริ่มนำ AI มาช่วยในการวางแผนการผลิต เช่น จากเดิมมีสินค้ากว่า 1,500 แบบ วันนี้ลดลงมาเหลือเพียง 450 แบบที่ขายดี ทำแบบนี้ยอดขายก็ไม่ลดเพราะสินค้านั้นเป็นที่ต้องการของลูกค้าจริง รวมถึงช่วยให้เรารู้ว่า สาขาไหนมีสินค้าอะไรขายดี แล้วเราควรผลิตเท่าไหร่ หรือควรทำโปรโมชั่นแบบไหน ตลอดจนโอกาสในการออกสินค้าใหม่ ๆ เช่น เสื้อฮูดดี้ กางเกงยีนส์แม็ค เซลเวจ รองเท้า แอ็กทีฟแวร์ ฯลฯ ที่เข้ามาช่วยให้ยอดขายเติบโต”

ขณะเดียวกันก็จะปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น ผ่านทั้งตัวสินค้าที่จะถูกดีไซน์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Authentic Chic” ส่วนร้านก็จะถูกปรับให้เป็น “lifestyle conceptual store” มีการจัดโซนสินค้าใหม่ เดินง่ายขึ้น มีสินค้าที่แตกต่างกันไปตามฐานลูกค้าในโลเกชั่นนั้น ๆ โดยจะนำร่องสาขาแรกที่โรบินสัน ลาดกระบัง ก่อนที่จะเปิดเพิ่มที่เมกาบางนา และรีโนเวตสาขาในเมืองอีก 10 สาขาภายในสิ้นปีนี้ ก่อนจะทยอยทำให้ครบทุกสาขาในอนาคต

พร้อมกับการพัฒนาแพลตฟอร์ม O2O (online to offline) รองรับการจับจ่ายทั้งหน้าร้าน และออนไลน์ อย่างไร้รอยต่อ เช่น สามารถสั่งซื้อในออนไลน์แล้วมารับที่สาขาใกล้บ้าน หรือที่ลูกค้าสะดวก และสามารถเปลี่ยน หรือคืนสินค้าได้ภายในร้านเช่นกัน โดยขณะนี้สินค้าของแม็คยีนส์ได้เข้าไปอยู่ในออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของบริษัท www.mcshop.com มาร์เก็ตเพลซต่าง ๆ อาทิ ลาซาด้า ลุคซิ 24 ช็อปปิ้ง เจดี เซ็นทรัล ช้อปปี้ ฯลฯ และมีจุดขายที่เป็นออฟไลน์ทั้งสิ้นกว่า 600 แห่ง

นอกจากนี้ บริษัทยังทดลองโมเดลการขายออนไลน์ผ่านพนักงานหน้าร้านแบบใหม่ โดยระยะแรกได้ร่วมกับพนักงานแม็คยีนส์ประมาณ 100 คนขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัท โดยจะได้รับค่าคอมมิสชั่นเพิ่มจากปกติ พนักงานไม่จำเป็นต้องอยู่ที่สาขาก็สามารถขายสินค้าได้ หรือหากเปลี่ยนงานก็ยังสามารถเป็นตัวแทนขายสินค้าของบริษัทได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยังอยู่ระหว่างพิจารณาโมเดลนี้ เพื่อเปิดให้บุคคลภายนอกที่สนใจเข้าเป็นตัวแทนในอนาคต

ส่วนแผนเทิร์นอะราวนด์ในปีหน้า จะมุ่งเน้นการขยายโมเดลสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการขยายแบรนด์พอร์ตโฟลิโอ การพาร์ตเนอร์ชิป และคอลลาบอเรชั่น รวมถึงการร่วมทุน หรือซื้อกิจการใหม่ ๆ ซึ่งขณะนี้มีการพูดคุยกับหลาย ๆ บริษัท แต่ยังไม่ศึกษาแบบลงลึกมากนัก โดยเบื้องต้นสนใจธุรกิจเครื่องสำอาง สกินแคร์ ฯลฯ รวมถึงธุรกิจที่จะมาต่อยอดให้กับฐานลูกค้าเดิมของแม็คยีนส์ โดยเฉพาะด้านออนไลน์ได้ ส่วนปี 2565 จะเน้นการบุกตลาดต่างประเทศ โดยเข้าไปยังตลาดใหม่ ๆ เพิ่มเติม

นางชนัญญารักษ์เปิดเผย ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2 (1 ต.ค.-31 ธ.ค. 2562) บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้ารวม 1,132 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรายได้จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม เติบโตขึ้น 9.4%

ส่วนการเติบโตของช่องทางต่าง ๆ พบว่า ในช่องทางร้านค้าปลีกของตนเอง (free-standing shop) เติบโต 18.4% คิดเป็นยอดขาย 671 ล้านบาท ช่องทางห้างสรรพสินค้า (department store) เติบโต 9.4% คิดเป็นยอดขาย 368 ล้านบาท และช่องทางออนไลน์ (e-Commerce) เติบโต 41.3% คิดเป็นยอดขาย 94 ล้านบาทคาดว่าจากกลยุทธ์เทิร์นอะราวนด์ จะผลักดันรายได้ของบริษัทให้มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 8% อย่างต่อเนื่อง และรักษาอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 14-16%

“ท่ามกลางเศรษฐกิจปัจจุบันที่มีความท้าทายรอบด้าน ทั้งการระบาดของไวรัสโคโรน่าสงครามการค้า และกำลังซื้อที่ชะลอลง เราต้องบริหารจัดการให้ทุกอย่างให้ดีตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ สร้างคุณค่าของแบรนด์ มีสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้า พร้อมกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ เพื่อทำให้เราเติบโตอย่างยั่งยืน”