มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา สำหรับภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่
ส่งผลให้เครื่องดื่มหลายชนิด ทั้งเหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำผักผลไม้ ชา กาแฟ น้ำอัดลม ฯลฯ มีภาระภาษีเพิ่มขึ้นมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ต่ำสุดตั้งแต่ 0.06 บาทต่อขวด ไปจนถึงสูงสุดกว่า 110 บาทต่อขวด
“สมชาย พูลสวัสดิ์” อธิบดีกรมสรรพสามิต ระบุว่า อัตราภาษีใหม่จะทำให้ราคาของไวน์นำเข้าราคาเกิน 1,000 บาท จะมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 110 บาทต่อขวด ส่วนไวน์ที่มีราคาต่ำกว่า 1,000 บาท มีราคาลดลง 25 บาทต่อขวด ส่วนเหล้าขาวจะปรับเพิ่มขึ้น 0.80-3.5 บาทต่อขวด ขึ้นอยู่กับดีกรีแอลกอฮอล์
ส่วนเหล้าสีในประเทศ 28 ดีกรี จะปรับขึ้น 8-30 บาทต่อขวด เหล้าสีในประเทศ 40 ดีกรี จะปรับขึ้น 30 บาทต่อขวด ขณะที่เหล้านอกราคาจะปรับลดลง 2-20 บาทต่อขวด ส่วนเบียร์กระป๋องจะปรับเพิ่มขึ้น 50 สตางค์ต่อกระป๋อง แบบขวดจะปรับขึ้น 2 บาทต่อขวด
นอกจากนี้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ยังมีการถอดเครื่องดื่มประเภท “ชา ชาเขียว และกาแฟ” ออกจากรายการเครื่องดื่มที่ได้รับการยกเว้นภาษี 111 รายการ เนื่องจากเข้าเงื่อนไขการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบการเกษตร และเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ ตามที่กรมกำหนด ทำให้สินค้าดังกล่าวต้องเสียภาษีในส่วนของมูลค่าและปริมาณ (ความหวาน) เพิ่มขึ้น
โดยเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องมีภาระภาษีความหวานเพิ่ม ได้แก่ น้ำผักผลไม้ จะมีราคาเพิ่มขึ้น 0.06-0.54 บาทต่อขวด ชาเขียว เพิ่มขึ้น 1.13-2.05 บาทต่อขวด กาแฟ เพิ่มขึ้น 1.35 บาทต่อขวด น้ำอัดลม เพิ่มขึ้น 0.13-0.50 บาทต่อขวด
ที่น่าจับตามากอีกอย่างหนึ่งก็คือ เครื่องดื่มชูกำลัง ที่ภาษีใหม่นี้จะทำให้เสียภาษีเพิ่มขึ้น 0.32-0.90 บาทต่อขวด เพราะหากทุกค่ายพร้อมใจกันปรับราคาก็จะถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่เครื่องดื่มชูกำลังขึ้นราคา และขายสูงกว่า 10 บาท
หรือทุกค่ายพร้อมจะแบกรับภาษีที่เกิดขึ้นไว้เอง ซึ่งจะทำให้มาร์จิ้นที่เคยมีเคยได้ลดลง
ขณะที่ น้ำอัดลมที่ไม่มีน้ำตาล จะมีราคาลดลง 0.25-0.36 บาทต่อขวด และเครื่องดื่มชูกำลังขนาด 150 มล. จะเสียภาษีลดลง 0.11 บาท โดยในระยะแรกจะไม่เพิ่มภาระภาษีมากนัก แต่หลังจาก 2 ปี ภาระภาษีจะเพิ่มขึ้น และปรับเพิ่มภาษีทุก 2 ปีจนถึงปี 2566
ส่วนความเคลื่อนไหวผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า ยังไม่มีใครปรับราคาสินค้าขึ้น เนื่องจากยังมีสต๊อกของเก่าที่ผลิตไว้ก่อนหน้านี้ และยังรอดูท่าทีของคู่แข่ง ก่อนที่จะตัดสินใจพิจารณาขึ้นราคาสินค้า เนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจของเหล้า เบียร์ น็อนแอลกอฮอล์ในไทยเป็นไปอย่างดุเดือด จึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการแข่งขัน
เช่นเดียวกับช่องทางค้าปลีกเชนใหญ่ต่าง ๆ ก็ยังไม่มีภาพของการปรับราคาสินค้าขึ้นแต่อย่างใด ขณะที่ช่องทางประเภทร้านค้า ร้านโชห่วย ฯลฯ เริ่มมีการปรับสินค้าขึ้นหลายรายการ เช่น เหล้า เบียร์ บุหรี่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดูเหมือนว่าเอฟเฟ็กต์จากภาระภาษีใหม่นี้จะไม่รุนแรงเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ในสภาพของเศรษฐกิจกำลังซื้อเช่นนี้ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไป