“สยามเฮลท์กรุ๊ป” บุกไทย-เทศ ปูพรมสินค้าใหม่-ชูอีโมชั่นนอลย้ำแบรนด์

“สยามเฮลท์ กรุ๊ป” จัดทัพสู้วิกฤตเศรษฐกิจ-โควิด-19 เดินหน้างัดกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ ผุดแคมเปญโฆษณาสร้างกระแสไวรัล ดันยอดเดนทิสเต้-สมูทอี ก่อนเพิ่มช่องทางขายใหม่ พร้อมนำเดนทิสเต้บุกตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าปีนี้เติบโต 15%

นายแสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากเดนทิสเต้ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสมูทอี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของธุรกิจในปีที่ผ่านมา เติบโต 15% ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจและภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่ชะลอตัว รวมถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตลอดจนการเข้ามาของดิจิทัลดิสรัปชั่น ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์การตลาดรวมถึงการวางแผนทำกิจกรรมการตลาดให้ครอบคลุมมากขึ้น

โดยเฉพาะการตลาดแบบรายเซ็กเมนต์ การตลาดแบบผสมผสาน และการทำอีโมชั่นนอลมาร์เก็ตติ้ง ภายใต้วิสัยทัศน์ในการเป็นบริษัทชั้นนำด้านสุขภาพและความงามเวิลด์คลาสล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทั้งกลุ่มแบรนด์เดนทิสเต้และสมูทอี โดยทําการตลาดรูปแบบ planet marketing เพื่อกระตุ้นการรับรู้เกี่ยวกับประเด็นในสังคม ผ่านภาพยนตร์โฆษณา 2 ชุด ได้แก่ ภาพยนตร์โฆษณาของ Dentiste” Mouth Spray Extra Fresh คอนเซ็ปต์ “เพราะคนที่คุณรัก อาจตายได้ รักเค้า ห่วงเค้า บอกเค้า บอกเค้า !! และภาพยนตร์โฆษณาของสมูทอี คือ Smooth-E Cleansing Oil with Serum โดยหยิบยกประเด็นปัญหาผู้หญิงจํานวนมากถูกทําร้าย และ 83% ของผู้หญิงที่ถูกทําร้าย เลือกที่จะปกปิดไม่บอกใคร เมื่อเปิดตัวแคมเปญผ่านสื่อโซเชียลเพียง 7 วันแรก ทำให้มีผู้คนแชร์ต่ออย่างรวดเร็วมากกว่า 1.8-2 ล้านวิว ถือว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

ทั้งหมดนี้ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่สื่อสารข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์โดยไม่จําเป็นต้องใช้งบฯส่งเสริมการขายที่มีต้นทุนสูง ถือเป็นการปรับเปลี่ยนแนวทางการทําตลาด เพื่อตอกย้ำตำแหน่งผู้นำการเป็นสินค้ากลุ่มยาเพื่อสุขภาพ

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2563 เดินหน้านำผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากเดนทิสเต้ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสมูทอี ขยายช่องทางการจําหน่ายใหม่ ๆ ทั้งกลุ่มร้านขายยา โดยเฉพาะร้าน P&F ของสยามเฮลธ์ กรุ๊ป ทั้ง 70 สาขาและร้านโมเดิร์นเทรด ควบคู่กับใช้การตลาดรูปแบบใหม่ ผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งได้มีการจ้างเอเยนซี่แบรนด์ระดับโลกทำตลาดให้สินค้ากลุ่มแบรนด์เดนทิสเต้ เพื่อเจาะตลาดใน 25 ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี คาดว่าจะทำรายได้เติบโตกว่า 20%

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันภาพรวมผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลช่องปาก หรือออรัลแคร์มีมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 3% ต่อปี โดยมียาสีฟัน 10,000 ล้านบาทเป็นเซ็กเมนต์ใหญ่ที่สุด ซึ่งในกลุ่มของยาสีฟันพรีเมี่ยมยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี สำหรับเดนทิสเต้ ราคาหลอดละ 150-200 บาท สูงกว่ายาสีฟันทั่วไปในตลาด อยู่ในเซ็กเมนต์พรีเมี่ยม เจาะกลุ่มคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ยินดีจ่ายสำหรับสินค้าที่ดี