
คอลัมน์ Market Move
ในขณะที่สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีกำลังทวีความตึงเครียดมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายนี้ บรรดาแบรนด์สินค้าของเกาหลีใต้ต่างถูกบีบให้เร่งหารายได้จากตลาดอื่นมาชดเชยรายได้จากจีนแผ่นดินใหญ่ และรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนในเกาหลีซึ่งคาดว่าจะหายไปไม่น้อยกว่า 4,700 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากอยู่ในสถานะคู่ขัดแย้งจากกรณีการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ จนเกิดการบอยคอตสินค้า ธุรกิจและการท่องเที่ยวเกาหลีใต้มานานหลายเดือน
สำนักข่าว “บลูมเบิร์ก” รายงานว่า “อมอร์แปซิฟิค” ผู้ผลิตสินค้าความงามรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ตัดสินใจหันมาเพิ่มน้ำหนักตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งเดิมสร้างรายได้เพียง 133 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือไม่ถึง 3% ของรายได้รวม ให้ก้าวกระโดดขึ้นอีกอย่างน้อย 3 เท่าตัว เพื่อมาถ่วงดุลกับรายได้จากจีนที่มีสัดส่วนถึง 19% และในเกาหลีเองที่เป็นฐานใหญ่กว่า 80%
โดยมุ่งเป้าไปยังผู้บริโภคทั่วไปและสาวมุสลิม อาศัยสินค้าไลน์อัพใหม่ที่พัฒนาให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในตลาดนี้เป็นการเฉพาะ ทั้งเรื่องสีผิวที่เข้มและสภาพอากาศที่ชื้นกว่าทางเอเชียตะวันออก รวมถึงพฤติกรรมการล้างหน้าก่อนทำละหมาดวันละ 5 เวลาของหญิงชาวมุสลิม
“โรบิน นา” ประธานของอมอร์แปซิฟิค ภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า แบรนด์หัวหอกจะเป็นลาเนจ, อินนิสฟรี, อีทูดี้ เฮาส์, โซลวาซู และมามอนด์ พร้อมกับเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอีกอย่างน้อย 150 แห่งจากปัจจุบัน 250 แห่ง เพื่อเพิ่มยอดขายให้ได้ตามเป้า
นอกจากนี้ยังทุ่มงบฯ 97.5 ล้านเหรียญสหรัฐ สร้างโรงงานในมาเลเซีย มีกำหนดเปิดสายการผลิตในปี 2563 เพื่อรองรับดีมานด์ในภูมิภาค หลังจากตั้งศูนย์วิจัยในสิงคโปร์ไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ และเดินหน้าวิจัยตลาดเข้มข้นด้วยการส่งตัวแทนไปสัมภาษณ์และสังเกตการณ์ลูกค้าชาวมาเลเซียถึงบ้าน เพื่อรับรู้ดีมานด์และพฤติกรรมการใช้งาน
“ความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม รวมไปถึงสภาพอากาศถือเป็นโจทย์ท้าทายของภูมิภาคนี้ ซึ่งแตกต่างจากในจีนหรือเกาหลีมาก จึงต้องพัฒนาสินค้าขึ้นมาใหม่ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงจุดที่สุด”
หนึ่งในไลน์อัพไฮไลต์ตามแผนนี้คือ สินค้าสำหรับสาวชาวมุสลิมซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะหลายอย่างที่ตอบโจทย์เฉพาะตัวของลูกค้า เช่น ความเบาและล้างออกง่าย เพื่อให้สามารถล้างออกได้เร็วก่อนทำละหมาด หรือน้ำยาล้างเครื่องสำอางที่ไม่ทำให้ผิวแห้งแม้จะใช้บ่อย ในขณะที่สีสันของลิปสติกและอายแชโดว์ต้องเน้นโทนสดใส ตามเทรนด์ที่นิยมเน้นใบหน้าส่วนที่อยู่นอกฮิญาบ และยังมีรองพื้นสีเข้มพิเศษในแบรนด์ลาเนจและอินนิสฟรีที่ขายเฉพาะในภูมิภาคนี้เท่านั้น
ทั้งนี้ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ศักยภาพผู้บริโภคชาวมุสลิมเป็นที่จับตามองของหลายธุรกิจ เนื่องจากตามการประเมินของเอเชียคอนซูเมอร์อินไซต์ระบุว่า ภายในปี 2562 ชาวมุสลิมทั่วโลกจะใช้จ่ายรวมกันสูงถึง 73,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบัน 60% ของชาวมุสลิมอาศัยอยู่ในเอเชีย และในจำนวนนี้ 300 ล้านคนอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงถึงโอกาสมหาศาลทางธุรกิจหากสามารถดึงคนกลุ่มนี้เป็นลูกค้าได้
นอกจากนี้สาวชาวมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นผู้นำเทรนด์ของโลกมุสลิมในหลายด้าน รวมถึงเรื่องเครื่องสำอาง เนื่องจากมีกำลังซื้อสูง
โดยจากนี้ต้องรอดูว่าแผนรุกตลาดของอมอร์แปซิฟิคจะสำเร็จหรือไม่ และคู่แข่งอย่าง “ลอรีอัล” ที่มีกลยุทธ์คล้ายกันจะตอบสนองกับความเคลื่อนไหวนี้อย่างไร