เกรียงไกร กาญจนะโภคิน นำ “อินเด็กซ์” ฝ่าวิกฤตไวรัสร้าย

สัมภาษณ์

พิษร้ายของ “ไวรัสโควิด-19” ที่กระจายไปทั่ว ส่งผลกระทบกับธุรกิจหลากหลายแง่มุม มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป รวมทั้งการจัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ ที่ต้องยกเลิก ขณะที่หลาย ๆ งานต้องจำใจเลื่อนการจัดงานออกไปอย่างไม่มีกำหนด ส่งผลกระทบกับอีเวนต์ต้องเร่งปรับแผนปรับยุทธศาสตร์เพื่อรับมือและประคับประคองตัว

“เกรียงไกร กาญจนะโภคิน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) บริษัทอีเวนต์รายใหญ่ ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมของผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และการปรับตัวของธุรกิจอีเวนต์ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

หัวเรือใหญ่ “อินเด็กซ์ ครีเอทีฟฯ” เริ่มต้นสนทนาว่า “…ตลอดการทำงานบนเส้นทางธุรกิจอีเวนต์มานาน 30 ปี สำหรับปีนี้ถือว่ายากลำบากที่สุด จากที่ผ่านมาเราผ่านเหตุการณ์อะไรที่ยากลำบากมาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 หรือวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปีนี้ถ้าเทียบกับช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ครั้งนี้ถือว่าหนักและยากมากกว่า ที่ว่าหนักกว่าเพราะทุกธุรกิจได้รับผลกระทบหมด และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สถานการณ์จะคลี่คลายและกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง”

“เกรียงไกร” กล่าวต่อไปว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ธุรกิจอีเวนต์ในไทยได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา มีงานขนาดใหญ่หลายงานไม่สามารถจัดได้ เช่น มอเตอร์โชว์ เป็นต้น ถึงตอนนี้ ธุรกิจอีเวนต์ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก และธุรกิจอีเวนต์อาจจะแตกต่างจากธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจกีฬา เนื่องจากธุรกิจนี้ยังมีกระทรวงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เข้ามาดูแลช่วยเหลือ ตรงกันข้ามธุรกิจอีเวนต์ ไม่มีหน่วยงานออกมาดูแล ณ ตอนนี้ จึงอยากให้ภาครัฐช่วยพิจารณามาตรการทางด้านภาษีเข้ามาช่วย เช่น ภาษีหัก ณ ที่จ่าย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการในธุรกิจอีเวนต์สามารถที่จะประคับประคองตัวให้อยู่รอดได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้

“หากภาครัฐสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในไตรมาส 3 คาดว่าช่วงไตรมาส 4 ธุรกิจอีเวนต์น่าจะสามารถกลับมาจัดงานได้ แต่ก็คงจะต้องเป็นในลักษณะอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนทางฝั่งผู้ประกอบการก็คือว่า ทุกรายจะต้องมีการวางแผนใช้งบการตลาดรัดกุมมากขึ้น เนื่องจาก ประชาชนหรือผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจจะยังมีปัญหาเรื่องกำลังซื้อและการจับจ่าย เพราะทุกคนได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ส่วนด้านการท่องเที่ยวที่ตลาดนี้หยุดชะงักมาตั้งแต่ต้น ๆ ปี หากไตรมาส 4 สถานการณ์คลี่คลายดีขึ้น การท่องเที่ยวภายในประเทศอาจค่อย ๆ ฟื้นตัว เช่น การเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ และเมื่อทุกอย่างกลับมาได้ อีเวนต์ก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น”

พร้อมกันนี้ เขายังคาดการณ์ถึงภาพรวมของธุรกิจอีเวนต์ไว้ด้วยว่า มีแนวโน้มหดตัวถึง 15% และทำให้มีมูลค่าเหลือประมาณ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท

“แม้ธุรกิจอีเวนต์จะมีโอกาสกลับมาเติบโตได้ในอีกไม่ช้า แต่ต้องปรับตัวเป็น “นิวนอร์มอลอีเวนต์” หรืออาจจะเรียกว่า “ไฮบริดอีเวนต์” เพื่อสอดรับกับกระแสดิจิทัลที่เข้ามามีอิทธิพลในการทำงานมากขึ้นในปัจจุบัน ที่สำคัญการสร้างอีเวนต์จะต้องมีความโดดเด่น มีค่า น่าจดจำ ช่นเดียวกับงานไมซ์ (MICE) ได้แก่ การจัดประชุมสัมมนา นิทรรศการต่าง ๆ ก็จะต้องมีการปรับรูปแบบให้มีการไลฟ์สดแบบเรียลไทม์”

พร้อมกันนี้ ซีอีโออินเด็กซ์ฯยังกล่าวถึงงานอีเวนต์ของบริษัทที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีว่า ยังมีหลายงานที่จะเกิดขึ้น หลัก ๆ เช่น งานแสดงไลต์เฟสติวัล Village of Illumination ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย วันที่ (4 ธ.ค. 2563-31 ม.ค. 2564) และมีโปรเจ็กต์ใหม่ที่เป็นรูปแบบน็อนอีเวนต์อีก 3-4 โปรเจ็กต์ ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2564 นอกจากนี้ ยังมีงานการก่อสร้างไทยแลนด์พาวิเลียน ในงาน World Expo 2020 Dubai ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากเดิมจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ต.ค. 2563-10 เม.ย. 2564 เบื้องต้นเลื่อนไปเป็นวันที่ 20 ต.ค. 2564-10 เม.ย. 2565 ขณะนี้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแต่ต้องปรับแผนในส่วนของเมนเทนแนนซ์ และแผนการเดินทางเพื่อรองรับผู้เข้ารับชมใหม่ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนอกจากบริการด้านการวางแผน กลยุทธ์การตลาด การให้บริการการพัฒนาและแบรนดิ้ง การบริการสร้างสรรค์งานโปรเจ็กต์พิเศษ ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท เมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทยังได้ขยายไลน์ธุรกิจ เปิดธุรกิจฉีดพ่นฆ่าเชื้อ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจฉีดพ่นฆ่าเชื้อโควิด-19 มีแนวโน้มเติบโตมาก เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นรายได้ในรูปของแฟรนไชส์ ภายใต้ชื่อแบรนด์ KILL & KLEAN มีให้เลือก 3 แพ็กเกจ ขนาด S-M-L ราคาเริ่มต้น 2-3 แสนบาท จะมีชุดอุปกรณ์ฉีดพ่นฆ่าเชื้อและชุดที่ออกแบบมาเพื่อฉีดฆ่าเชื้อโดยเฉพาะ โดยที่บริษัทจะเป็นผู้ซัพพอร์ตแฟรนไชส์ในเรื่องของกระบวนการทำงานและการทำตลาด เพื่อสื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่ โดยตั้งเป้าเปิดรับแฟรนไชส์ประมาณ 75 คนทั่วประเทศ และเตรียมนำธุรกิจนี้เข้าไปเปิดตลาดในประเทศเมียนมา กัมพูชา และเวียดนาม เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต

โดยบริการของ KILL & KLEAN จะเป็นการนำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ในการฉีดฆ่าเชื้อ เช่น ใช้โดรนในการพ่นฆ่าเชื้อ ส่วนอัตราค่าบริการเริ่มต้น 1,500 บาทไปจนถึง 7,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย บ้าน ร้านอาหาร และอาคารสำนักงาน เป็นต้น

จากนี้ไปธุรกิจอีเวนต์คงไม่เหมือนเดิม