คอลัมน์ Market-think
โดย สรกล อดุลยานนท์
ผมเพิ่งอ่านเฟซบุ๊กของ “กอล์ฟ” มารุต ซุ่มขุนทด ผู้ก่อตั้ง “คลาส คาเฟ่” ที่ใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง”
ปักหลักที่นครราชสีมา แล้วขยายไปจังหวัดใกล้เคียงอย่างขอนแก่น อุดรธานี บุรีรัมย์ ฯลฯ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
ก่อนวกเข้ามาในกรุงเทพมหานคร
ความสำเร็จของ “คลาส คาเฟ่” กลายเป็นที่กล่าวขวัญในแวดวงธุรกิจ
คล้ายกับทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เป็นทีมต่างจังหวัด แต่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ
ฝันของเขาใหญ่มาก และมีโอกาสเป็นจริงได้
แต่พอมาเจอวิกฤติ “ไวรัสโควิด” เข้า บริษัทที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ บริษัทขนาดเล็กที่กำลังขยายกิจการ
เพราะ “สายป่าน” สู้บริษัทใหญ่ ๆ ที่อยู่มานานไม่ได้
“คลาส คาเฟ่” ก็เช่นกัน
แต่ใครจะไปนึกว่าทีมคนหนุ่มของ “คลาส คาเฟ่” กลับแข็งแกร่งกว่าที่คิด
อ่านเฟซบุ๊กของ “มารุต” แล้วอยากลุกขึ้นปรบมือให้เลย
“มารุต” เขียนเล่าเรื่องยาวมาก
แต่…ดี
ครบถ้วนทุกกระบวนความของการปักหลักสู้วิกฤติ
เริ่มตั้งแต่การวางแผนตั้งรับตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธุ์
คาดการณ์ว่ายอดคนเข้าร้านจะหายไป 80-100%
เขาถอนทัพจากเมืองกรุง ระยอง นครปฐม ที่กำลังจะบุก เปลี่ยนมาเป็นการหารายได้ใหม่
โฟกัสในพื้นที่ที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด คือ โคราช
“คลาส ย่าโม” เปิด 24 ชั่วโมง
ปรากฏว่ายอดขายดีกว่าใน กทม.รวมกัน 6 สาขา
เร่งเปิดสาขาใหญ่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ทันก่อนสอบ เปิด 24 ชั่วโมงเหมือนกัน
ปรากฎว่าขายดีกว่า กทม. 10 สาขา
ผมชอบวิธีคิดฝ่าวิกฤติของ “กอล์ฟ” เขาใช้วิธีการเดียวกับ “แต๋ม” ศุภจี
สุธรรมพันธุ์ ของ “ดุสิตธานี”
“แต๋ม” เคยบอกว่าเวลาเจอปัญหาใหญ่ ๆ ให้ซอยปัญหาเป็นส่วน ๆ แล้วแบ่งงานกันทำ
“กอล์ฟ” ก็ซอยปัญหาเป็นส่วนๆ แล้วลุยเลย
ส่วนของการลดต้นทุน เขาสามารถลดค่าไฟฟ้าจาก 6 แสนกว่าบาทเหลือ 2 แสนกว่าบาท
ปิดสาขา จาก 28 เหลือ 12 สาขา
เจรจากับแบงก์ ขอเข้าโครงการโควิด พักชำระทั้งต้นและดอกเบี้ย
ลดเงินเดือนผู้บริหาร
เจรจากับเจ้าหนี้ ขอยืดหนี้
ฯลฯ
ทำทุกอย่างเพื่อลดต้นทุน และรักษากระแสเงินสด
ในมุมของ “รายได้” ก็คิดสินค้าใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป
กาแฟที่เทลาเต้อาร์ตสวย ๆ คุกกี้แพง ๆ ไม่ใช่สินค้าที่ลูกค้าต้องการในเวลานี้
เมื่อลูกค้าไม่เดินเข้าร้าน
เราก็เปลี่ยนเป็นไปหาลูกค้าแทน
ยุทธศาสตร์หนึ่ง คือ การยึดพื้นที่ใน “ตู้เย็น” ของลูกค้า
เพราะตอนนั้นลูกค้าทุกคนจะตุนของในตู้เย็น
ทำอย่างไรให้สินค้าของเราไปอยู่ในตู้เย็นของเขาให้ได้
สินค้าใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เช่น น้ำส้มขวดลิตร กาแฟขวดลิตร เค้กข้าวเหนียวหมูทอด ขนมปังยักษ์ไส้หมูหยองลูกเกด ฯลฯ
ขายดีมาก
ระบบการขาย ออนไลน์ใส่เต็มสูบ ตั้งทีมดูแลลูกค้า 24 ชั่วโมงทุกวัน
เปลี่ยน “ทีมเสิร์ฟ” เป็น “ทีมส่ง”
คล้าย ๆ กับโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง ที่นำพนักงานเสิร์ฟที่มีจักรยานยนต์ปรับเป็นพนักงานส่งสินค้า
หารายได้ให้พนักงาน
ที่ชอบที่สุด คือ ทำ “รถพุ่มพวง” ไปขายต่างอำเภอในโคราช
“รถพุ่มพวง” เป็นศัพท์ที่เรียกรถขายกับข้าวที่บุกเข้าทุกหมู่บ้าน
“คลาส” ก็ทำคล้ายกัน เอาอาหารและเครื่องดื่มใส่รถ 5 คันบุกไปขายต่างอำเภอ
โฟกัสที่กลุ่มลูกค้าเล็ก ๆ แต่มีกำลังซื้อสูง
นั่นคือ โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ “คลาส คาเฟ่” เคยทำการตลาดที่โรงพยาบาลมายาวนาน
สั่งพรีออร์เดอร์ จ่ายเงินก่อน แล้วไปส่ง
ขายดีมากครับ
ผ่านไป 3 เดือน ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายของบริษัทลดลงจากการปิดสาขาลงเกินครึ่ง
แต่ยอดขายลดลงเพียงแค่
15%
อย่าถามว่าหักลบแล้วเป็นอย่างไร
“มารุต” สรุปว่า “คลาส คาเฟ่” รักษาความได้เปรียบของเขา คือ ขนาดองค์กรที่เล็กกว่า และคิดแบบสตาร์ตอัพ
ตัดสินใจรวดเร็วเหมือนปลาเล็กที่คล่องตัว
สร้างนวัตกรรม และวัฒนธรรมใหม่ที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
ถือเป็นบทเรียนธุรกิจของคนหนุ่มที่น่าศึกษาอย่างยิ่งครับ
เขาเก็บ “ความฝัน” ไว้ชั่วคราว
เจ็บตัวให้น้อยที่สุด
รักษา “ลมหายใจ” เอาไว้
ถ้าผ่านไปได้ วิกฤติครั้งนี้จะเป็นบททดสอบที่ทำให้”คลาส คาเฟ่” แข็งแกร่งขึ้น
และเป็นบริษัทที่น่าลงทุนมากครับ