“โอสถสภา” ลีนองค์กรสู้โควิด หั่นรายจ่าย 800 ล้าน รุกดีลิเวอรี่

เพิ่มกำลังผลิต - เทรนด์ของการดูแลสุขภาพทำให้ ซี-วิต เป็นที่นิยมของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ทำให้โอสถสภาลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต รองรับดีมานด์ได้เพิ่ม 10-15%

“โอสถสภา” งัดแผนรับมือโควิด ตั้ง “crisis team” รับมือเชิงรุก ผุดโปรเจ็กต์ “Fit Fast Firm” ลีนองค์กร ตั้งเป้าลดรายจ่าย 800 ล้าน พร้อมปรับกลยุทธ์ใหม่รับเทรนด์ตลาดเปลี่ยน รุกโฮมดีลิเวอรี่ ปรับโรงงานแตกไลน์เจลแอลกอฮอล์ “เชอร์รี่ เวลล์” เพิ่มไลน์ผลิต “ซี-วิต” รับตลาดฟังก์ชั่นนอลดริงก์โตแรง ก่อนปิดรายได้ไตรมาสแรก 6.6 พันล้าน โต 5%

นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจ แต่โอสถสภายังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง จากพอร์ตสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว และจากการปรับแผนรับมือล่วงหน้าก่อนที่จะมีการระบาดอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นด้านแคมเปญการตลาด การผลิต ซัพพลายเชน และการจัดส่งสินค้า ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจไม่หยุดชะงัก

โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 926 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ขณะที่ภาพรวมของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม โอสถสภามีส่วนแบ่งการตลาดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 54% โดยมีแบรนด์เอ็ม-150 มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนอลดริงก์ (functional drink) มีอัตราเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาใส่ใจสินค้าเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แบรนด์ “ซี-วิต” มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 31.3% และช่วยผลักดันให้ภาพรวมตลาดฟังก์ชั่นนอลดริงก์ในไตรมาสแรกเติบโตถึง 16.1%

นางพรธิดา บุญสา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ระบุเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัทได้ตั้ง “crisis team” เพื่อดีลกับสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นในเชิงรุก ตั้งแต่เรื่องความปลอดภัยของบุคลากรในองค์กร ตลอดจนกลยุทธ์ในการฝ่าวิกฤตที่มีการปรับแผนใหม่ โดยเลือกโฟกัสในธุรกิจที่เป็นคอร์บิสซิเนส

เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง เอ็ม-150 เครื่องดื่มวิตามินซี ซี-วิต เพื่อทำให้แบรนด์แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจากในภาวะวิกฤตผู้บริโภคมักจะเลือกซื้อแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจ (trusted brand) มากกว่าแบรนด์อื่น ๆ และร้านหรือช่องทางจำหน่ายเองก็เลือกที่จะสต๊อกสินค้าดังกล่าว เพราะมั่นใจว่าจะขายได้

ขณะเดียวกัน ในสินค้าหรือแคทิกอรี่ที่กำลังเติบโตมีดีมานด์สูง จะหันไปให้ความสำคัญมากขึ้น เช่น สินค้าสุขภาพและสุขอนามัย มีการแตกไลน์โปรดักต์เจลและสเปรย์ทำความสะอาดมือ ภายใต้แบรนด์เบบี้ มายด์ และโอเล่ ตลอดจนการแตกแบรนด์ใหม่ “เชอร์รี่ เวลล์” เจลแอลกอฮอล์ที่มีราคาเข้าถึงง่าย (affordable price)

รวมถึงการเข้าไปทำตลาดในช่องทางออนไลน์ การทำโฮมดีลิเวอรี่เพื่อรับกับโอกาสในช่วงล็อกดาวน์ที่คนอยู่บ้านกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ “สลิมม่า” เครื่องดื่มผสมใยอาหาร แอล-คาร์นิทีน และวิตามินบี หรือเปปทีน โกลด์ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีการเติบโตจากช่องทางนี้มากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดทำโปรเจ็กต์ “Fit Fast Firm” เพื่อควบคุมต้นทุนเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการทำตลาด โดยปีนี้ตั้งเป้าที่จะลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น 800 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกได้ทำการลดค่าใช้จ่ายไปแล้วมากกว่า 50% ของเป้าที่ตั้งเอาไว้

“เราพยายามตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป หรืออะไรที่เลื่อนได้ก็ชะลอออกไปก่อน CAPEX ในปีนี้จึงตั้งไว้น้อยกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อให้มีแคชโฟลว์ในการดำเนินธุรกิจ และมีการวางแผนเป็นซีนาริโอเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหา”

ตลอดจนการมอนิเตอร์ด้านซัพพลายเชนอย่างใกล้ชิด เพื่อซีเคียววัตถุดิบให้เพียงพอต่อการผลิตสินค้าในช่วงที่การขนส่งต่าง ๆ อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันโควิด-19 ตลอดจนหาแหล่งของวัตถุดิบใหม่เพื่อเป็นทางเลือก

ในด้านของโรงงานมีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตของแบรนด์ซี-วิตที่โรงงานอยุธยา โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มจากเดิมอีก 10-15% ส่วนด้านของโรงงานผลิตในเมียนมา

คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในช่วงไตรมาส 3 โดยขณะนี้โรงงานได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่สถานการณ์โควิด-19 ทำให้การตรวจสอบโรงงานขั้นตอนสุดท้ายล่าช้าออกไป

สำหรับตลาดต่างประเทศในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ภาพรวมมีการเติบโตเกือบทุกประเทศยกเว้นยุโรป โดยธุรกิจเครื่องดื่มมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลังในซีแอลเอ็มวี ที่บริษัทเป็นผู้นำตลาดในลาวและเมียนมา ส่วนในเวียดนามที่เพิ่งขยายตลาดเข้าไปเมื่อปลายปีที่แล้ว เมื่อเจอกับสถานการณ์ไวรัสทำให้ดีกรีการทำตลาดต้องลดลง ส่วนสินค้าเพอร์ซันนอลแคร์เติบโตลดลงโดยเฉพาะกลุ่มบิวตี้ที่อาจไม่ได้เป็นแคทิกอรี่ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจในช่วงนี้