VGI โฟกัส “O2O” เพิ่มรายได้ รัดเข็มขัด-ชะลอแผนลงทุนใหม่

นายเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน)
ปรับแผน - จากสถานการณ์โควิด-19 บริษัทได้ปรับมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์มากขึ้น ตลอดจนการลดค่าใช้จ่ายและชะลอการลงทุน

“วีจีไอ” ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ปิดรายได้ 4 พันล้าน กำไรนิวไฮ 1.4 พันล้าน หลังปรับแผนตั้งรุกออนไลน์เอเยนซี่ รับโอกาสทองอีคอมเมิร์ซโตแรง เสริมแกร่ง O2O โซลูชั่น ก่อนเดินหน้ามาตรการรัดเข็มขัด ชะลอแผนลงทุนใหม่ รักษาความมั่นคงสถานะการเงิน

นายเนลสัน เหลียง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI กล่าวว่า ผลการดำเนินงานปี 2562/2563 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 4,000 ล้านบาท กำไรสุทธิสูงที่สุดในประวัติการณ์ 1,424 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานของธุรกิจสื่อโฆษณา มีรายได้ลดลง 7.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 2,848 ล้านบาท จากการปรับปรุงสื่อโฆษณาบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสให้เป็นแบบดิจิทัล และอัตราการใช้สื่อที่น้อยลง

นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปี”63 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อโฆษณา จากการที่หลาย ๆ บริษัทได้หันมาพิจารณาชะลอการใช้งบฯโฆษณามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจบริการด้านดิจิทัล มีรายได้เพิ่มขึ้น 117.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 1,151 ล้านบาท จากการจัดตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ VGI Digital Lab ซึ่งเป็นผู้ให้บริการออนไลน์เอเยนซี่ มุ่งเน้นในการสร้างแคมเปญการตลาดออนไลน์และดิจิทัลผ่าน data management platform (DMP) ของกลุ่มบริษัท และการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับผู้ให้บริการการตลาดแบบออนไลน์และผู้นำด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในประเทศจีน เพื่อช่วยผลักดันให้แบรนด์ในภูมิภาคสามารถเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนผ่านการสร้างแคมเปญทางการตลาดแบบออนไลน์ดิจิทัล

นอกจากนี้ ภายหลังจากการเข้าลงทุนในแพลนบีเมื่อปีที่ผ่านมา ได้มีการร่วมกันเปิดตัวแพ็กเกจสื่อโฆษณาใหม่ ที่รวมหน้าจอสื่อโฆษณาดิจิทัลของทั้งวีจีไอ แพลนบี และ MACO รวมถึงการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคผ่าน O2O (offline to online) โซลูชั่น ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสื่อนอกบ้านให้ดีขึ้น และวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนด้านธุรกิจบริการชำระเงินหลังจากที่ได้จับมือกับกลุ่มสหพัฒน์ เปิดให้บริการร้านค้าลอว์สัน 108 บน 12 สถานีของรถไฟฟ้าบีทีเอส พร้อมเปิดช่องทางการชำระเงินผ่านบัตรแรบบิท และแรบบิท ไลน์ เพย์ ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตของผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง โดยบัตรแรบบิทมีผู้ใช้งานจำนวนทั้งสิ้น 13 ล้านใบ และผู้ใช้บริการแรบบิท ไลน์ เพย์ มีจำนวนทั้งสิ้นอยู่ที่ 7.3 ล้านราย

ในขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ จากความร่วมมือกับเคอรี่ มีการส่งมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง อาทิ การให้บริการส่งสินค้าตัวอย่างและการให้บริการโฆษณาผ่าน Parcel Sticker กว่า 5-6 แสนชิ้น และบริการโฆษณาบนรถขนส่งพัสดุของเคอรี่ จำนวนกว่า 400 คัน รวมทั้งยังมีการขยายจุดให้บริการจัดส่งพัสดุบน 4 สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส

มองแนวโน้ม 2563-2564

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563/2564 บริษัทคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อทุกหน่วยธุรกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงได้รับผลบวกจากความต้องการของนักโฆษณาที่หันมาใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใช้บริการผ่านตลาดอีคอมเมิร์ซที่ส่งผลดีต่อทุกหน่วยธุรกิจ

นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นในการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และเลื่อนการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ออกไปก่อน แต่ยังคงมุ่งต่อยอดผลงานจากโครงการที่มีอยู่ในมือ เพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงในสถานะทางการเงินของบริษัท

“จากสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน เรายังไม่สามารถประเมินได้ว่าการแพร่ระบาดจะยุติลงเมื่อใด อีกทั้งการมีมาตรการใหม่ ๆ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ไม่สามารถให้แนวโน้มการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจนสำหรับปี 2563/2564 ได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และจะประกาศแนวโน้มผลการดำเนินงานอีกครั้งเมื่อผลกระทบจากสถานการณ์นี้มีความชัดเจนมากขึ้น” นายเนลสันระบุ