“ตำรับไทย” เปิดเกมบุกรับกระแสผลิตภัณฑ์สมุนไพรแรง

ลูกค้ารุ่นใหม่ - วัยรุ่นอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ถือเป็นฐานลูกค้าใหม่มาแรงของตลาดสมุนไพร โดยมีความต้องการใช้สมุนไพรเพื่อความงามเป็นหลัก

“ตำรับไทย” เชื่อโควิดดันตลาดสมุนไพรโตพุ่ง ลุยเพิ่มไลน์อัพสินค้า-ผุดสาขาเจาะห้างค้าปลีก ชูโมเดลร้านสมุนไพรมัลติแบรนด์ รับดีมานด์หลังวัยรุ่น-วัยทำงานหันใช้สมุนไพรเพื่อความงาม-สุขภาพมากขึ้น พร้อมทุ่มงบฯการตลาดปั้นคอนเทนต์-ดึงอินฟลูเอนเซอร์-กระหน่ำโปรฯ หวังสร้างการรับรู้กระตุ้นยอดขาย มั่นใจสิ้นปีครบ 130 สาขา ยอดขายทะลุ 500 ล้าน

นายมหาคุณ เทพสุทิน บริษัท ตำรับไทย สมุนไพร จำกัด ผู้บริหารเชนร้านสมุนไพร “ตำรับไทย” เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากข้อมูลของทางการในปี 2562 ที่่ผ่านมา พบว่าตลาดสมุนไพรมีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท และปี 2563 นี้ตลาดมีแนวโน้มเติบโตสูง เนื่องจากมีปัจจัยหนุนหลายด้าน ทั้งกระแสสุขภาพที่ได้รับความนิยมมากขึ้น จากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจและเริ่มทดลองใช้สมุนไพรมากขึ้น สะท้อนจากดีมานด์ของยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรที่พุ่งสูงขึ้นเมื่อช่วงต้นปี รวมถึงความสนใจใช้สมุนไพรเพื่อความงามของกลุ่มวัยรุ่น ตั้งแต่ระดับมัธยม หรืออายุประมาณ 18 ปี ไปจนถึงวัยเริ่มทำงาน ที่รู้จักสมุนไพรผ่านสื่อโซเชียลและการบอกปากต่อปาก เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ใหญ่ที่ต้องการสมุนไพรในรูปแบบยา-อาหารเสริม สำหรับดูแลผู้สูงวัยในครอบครัว เนื่องจากภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย และราคาจับต้องได้ง่าย

ขณะเดียวกัน ตลาดสมุนไพรยังมีความคึกคักจากกลุ่มแบรนด์สินค้าและกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่หันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งสินค้าสมุนไพรที่มีรูปแบบทันสมัยมารับดีมานด์ของผู้บริโภครุ่นใหม่ อาทิ ปากกาเขียนคิ้วอัญชัน, ลิปสติกถั่งเช่า, แผ่นมาสก์หน้า และอื่น ๆ สะท้อนจากยอดขายของบริษัทช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และต้นมีนาคมยังเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ก่อนจะลดลงประมาณ 50% ในเดือนเมษายน หลังจากทางการมีมาตรการล็อกดาวน์ออกมา และตลาดเริ่มฟื้นตัวกลับมาในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และเชื่อว่าตลาดมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะสมุนไพรเพื่อความงามกลุ่มดูแลผิว เช่น สมุนไพรพอกหน้า-ขัดผิว, โคลนหมักผม, น้ำมันมะพร้าว ฯลฯ ที่คาดว่าจะมีดีมานด์สูง และมีลักษณะเป็นเซ็กเมนเตชั่นหรือเฉพาะกลุ่มมากขึ้น อาทิ ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวบางประเภท ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวผู้ชาย-หญิง เป็นต้น

“เป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงหลังการล็อกดาวน์ กลุ่มสมุนไพรดูแลผิวฟื้นตัวเร็วมาก ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่คนได้ทดลองใช้สมุนไพรในช่วงอยู่บ้านจนเกิดความเชื่อมั่น รวมถึงการสนใจหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตจนมีความเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรมากขึ้น”

นายมหาคุณกล่าวว่า สำหรับบริษัทช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทจะใช้ประโยชน์จากดีมานด์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ด้วยการเดินหน้าขยายสาขาเพื่อเพิ่มช่องทางขาย โดยเตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 15 สาขา ในโซนจังหวัดชลบุรีและกรุงเทพฯชั้นใน จากปัจจุบัน 115 สาขา รวมเป็น 130 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทบริหารเองทั้งหมด เน้นการเปิดในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต ห้างค้าปลีกท้องถิ่น และเชนห้างสรรพสินค้ารายหลัก คาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 2-3 ล้านบาทต่อสาขา รวมทั้งการร่วมกับสถานศึกษาต่าง ๆ ในการผลิตแพทย์แผนไทย เพื่อรองรับตลาด และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วก็จะรับมาประจำในแต่ละสาขา เพื่อทำหน้าที่ทั้งจ่ายยาและให้คำปรึกษา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์

นอกจากเป้าการขยายสาขาให้ครบทุกจังหวัดรวมประมาณ 300 สาขา ภายในปี 2567-2568 แล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษา เพื่อจะนำร้านและผลิตภัณฑ์ไปทำตลาดในต่างประเทศด้วย รวมทั้งได้ทยอยจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียมการรุกตลาดในอนาคต

ที่สำคัญคือ การตอกย้ำโพซิชั่นความเป็นร้านสินค้าสมุนไพรมัลติแบรนด์ ด้วยการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าความงามและขยายพอร์ตโฟลิโอให้สอดรับกับเทรนด์ของตลาด เช่น ผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับผิว ผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับชายหรือหญิง เป็นต้น รวมทั้งอาศัยการสนับสนุนเครือข่ายผู้ผลิตสินค้าสมุนไพร ที่เป็นคู่ค้าของบริษัทจำนวนกว่า 500 ราย ในการช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งมาจำหน่ายในร้าน ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งสินค้ามาวางจำหน่ายในร้านรวมกว่า 8,000 เอสเคยู หลัก ๆ แบ่งเป็นยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ความงาม

“โมเดลธุรกิจของเรานอกจากเป็นร้านค้าแล้ว ยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาธุรกิจ-การขอใบอนุญาต-การตลาดให้กับผู้ผลิตและเอสเอ็มอี เพื่อพัฒนาสินค้าสมุนไพรออกขาย โดยบริษัทได้รับผลตอบแทนเป็นค่าฝากขาย”

พร้อมทุ่มงบฯไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาททำการตลาดผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก เน้นการสร้างคอนเทนต์ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร และการใช้อินฟลูเอนเซอร์หลากหลาย อาทิ “แพท-ณปภา ตันตระกูล” “สอดอstyle” “ต้นหอม” เป็นต้น การจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจเป็นระยะ ๆ เน้นสไตล์ลดแล้วลดอีก ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดสินค้า ส่วนลดสำหรับสมาชิก เช่น ซื้อ 3 ชิ้น ลด 15% และหากเป็นสมาชิกลดเพิ่มอีก 3% เป็นต้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าสมาชิกที่มีอยู่กว่า 3.5 แสนราย และขยายฐานไปยังลูกค้ารายใหม่ ๆ เพิ่ม

“เชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ยอดขายปีนี้เติบโตเป็น 500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่มียอด 450 ล้านบาท เช่นเดียวกับจำนวนสาขาที่จะเพิ่มต่อเนื่องเป็น 150 สาขาในปี 2565 ที่มีแผนจะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ” นายมหาคุณกล่าว