“โอสถสภา” ลั่นโตดับเบิลดิจิต ปูพรมสินค้าใหม่เขย่าตลาด

“โอสถสภา” มั่นใจตลาดชูกำลัง-ฟังก์ชั่นนอลดริงก์-ของใช้ส่วนบุคคลครึ่งปีหลังยังแกร่ง หลังเทรนด์สุขภาพดันดีมานด์ ส่ง 3 ทหารเสือ “เอ็ม-150” “ซี-วิต” “เบบี้มายด์” ลุยตลาดปั้นรายได้ แย้มเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 2-4 รายการ เน้นนวัตกรรม พร้อมระดมการตลาดสร้างการรับรู้กระตุ้นการช็อป ด้านต่างประเทศเร่งปั้นแบรนด์-ขยายช่องทางขายเอ็ม-150, ชาร์คในเมียนมาหวังครองตลาด เชื่อหากไม่ระบาดรอบ 2 รายได้กำไรโต 2 หลักตามเป้าเดิม


นางวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) กล่าวในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ว่า ปัจจุบันภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีความท้าทายสูงกว่าปี 2562 ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจของไทยที่มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตน้อยกว่า 1% ต่ำกว่าปีที่แล้วที่เติบโต 2.4% รวมกับผลกระทบอื่น ๆ โดยเฉพาะจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดดังกล่าวยังมีโอกาสจากเทรนด์สุขภาพที่ช่วยสร้างดีมานด์สินค้าทั้งเครื่องดื่มชูกำลังผสมสมุนไพร, ฟังก์ชั่นนอลดริงก์ และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ขณะเดียวกันตลาดเครื่องดื่มชูกำลังยังสะท้อนความแข็งแกร่งและดีมานด์ ด้วยการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่หลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โอสถสภา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เพื่อรับมือความท้าทายและใช้ประโยชน์จากเทรนด์เหล่านี้ จากนี้ไปโอสถสภาจะโฟกัสการผลักดันแบรนด์เรือธง 3 แบรนด์ จาก 3 กลุ่มสินค้าหลักในพอร์ต คือ เครื่องดื่มบำรุงกำลังเอ็ม-150, เครื่องดื่มฟังก์ชั่นนอลดริงก์ ซี-วิต และผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล เบบี้มายด์ เนื่องจากเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค และร้านค้าให้ความเชื่อมั่นในการขาย สะท้อนจากผลตอบรับในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา โดยมีเอ็ม-150 เป็นตัวสร้างรายได้หลักให้กับบริษัทไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี

ทั้งนี้ แต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์จะมีกลยุทธ์แตกต่างกัน โดยกลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังจะเน้นสร้างความแข็งแกร่งของตราสินค้าในพอร์ต พร้อมสินค้าใหม่ที่มีนวัตกรรมและการทำตลาดที่สร้างความผูกพันกับลูกค้า ส่วนฟังก์ชั่นนอลดริงก์จะเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายของซี-วิตให้หลากหลายยิ่งขึ้น รวมส่งไปรุกตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ด้านผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลเน้นชูนวัตกรรมทั้งด้านฟังก์ชั่นการใช้งาน และรูปแบบสินค้าของแบรนด์เบบี้มายด์

“ช่วงไตรมาส 3-4 นี้ เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 2-4 รายการ ทั้งเครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคล เน้นจุดขายด้านนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อโดยไม่ต้องอาศัยโปรโมชั่นราคา และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง พร้อมระดมกิจกรรมการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับสินค้าทั้ง 3 แบรนด์ เช่นเดียวกับการใช้กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นมารองรับดีมานด์”

นางวรรณิภากล่าวต่อไปว่า พร้อมกันนี้บริษัทจะเดินหน้าพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ อย่างเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติหรือเวนดิ้งแมชีน ซึ่งอยู่ระหว่างวางระบบ และหาโมเดลที่เหมาะสม คาดว่าจะมีความชัดเจนในอีก 2-3 ปี หลังจากเมื่อปีที่แล้วบริษัทได้เข้าซื้อหุ้น 51% ของเอเชีย เวนดิ้ง แมชชีน โอเปอร์เรชั่น จำกัด (AOC) บริษัทย่อยเดิมของฟูจิ อิเลคทริค ผู้ผลิตและบริหารธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติจากญี่ปุ่น โดยมีทำเลติดตั้งในโรงงานอุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน มหาวิทยาลัย และที่พักอาศัย

สำหรับทิศทางของธุรกิจในต่างประเทศ นางวรรณิภาย้ำว่า จะเน้นการทำตลาดในย่านซีแอลเอ็มวี ซึ่งสร้างเม็ดเงิน 12% ของรายได้รวมปี 2562 โดยจะเน้นที่ประเทศเมียนมาและเวียดนาม ซึ่งมีศักยภาพจากฐานผู้บริโภคจำนวนมาก และดีมานด์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยในเมียนมาปีนี้จะเน้นสร้างแบรนด์เอ็ม-150 และชาร์คเป็นหลัก มุ่งขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น พร้อมนำข้อมูลอินไซต์ของผู้บริโภค และการจับมือพันธมิตรท้องถิ่นมาสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ชาวเมียนมาได้ตรงจุด รวมถึงข้อได้เปรียบที่มีโรงงานในประเทศที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทิลาวาซึ่งจะเริ่มดำเนินการช่วงปลายปีนี้มาช่วยเพิ่มอัตรากำไรและความคล่องตัวในการผลิต-การขยายตลาดในอนาคต รวมถึงยังมีโรงงานขวดแก้วที่คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในปี 2564 ส่วนการทำตลาดในประเทศเวียดนามยังอยู่ระหว่างการศึกษา

ขณะเดียวกันปรับแนวทางการทำธุรกิจเพิ่มความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อให้สามารถรับมือปัจจัยลบที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเดินหน้าโครงการควบคุมต้นทุน “ฟาสต์ ฟิต เฟิร์ม” ที่มีเป้าลดค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ลง 2,500 ล้านบาท ในช่วงปี 2562-2566 โดยปีนี้จะนำการปรับสูตรสินค้า นำขวดแก้วแบบใหม่ที่มีน้ำหนักเบาลงมาใช้ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคลังสินค้า ไปจนถึงเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า


“เชื่อว่าหากไวรัสโควิด-19 ไม่มีการระบาดรอบ 2 หรือหากมีแต่ไม่รุนแรง บริษัทจะสามารถรักษาเป้าการเติบโตของรายได้และผลกำไรในระดับเลข 2 หลัก ที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี 2563 ได้ จากการเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงครึ่งปีหลัง และการเปิดตัวสินค้าใหม่” นางวรรณิภากล่าวย้ำในตอนท้าย